รอยเตอร์ - ในขณะที่ผู้นำเกาหลีเหนือและสหรัฐฯ เจรจาการปลดอาวุธนิวเคลียร์จากคาบสมุทรเกาหลี ‘เวียดนาม’ ในฐานะเจ้าภาพการประชุมของสองผู้นำในสัปดาห์นี้ กำลังเพลิดเพลินกับบทบาทของตนเองในฐานะผู้ส่งเสริมสันติภาพ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และผู้นำคิม จอง อึน ของเกาหลีเหนือ จะพบหารือกันในวันพุธและพฤหัสฯ ที่กรุงฮานอย ในความหวังที่จะสร้างความความคืบหน้าต่อจากการประชุมซัมมิตครั้งประวัติศาสตร์ของพวกเขาในสิงคโปร์เมื่อเดือน มิ.ย. ที่เป็นการพบหารือกันครั้งแรกระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ
การเป็นเจ้าภาพการเจรจาที่มีเดิมพันสูงของเวียดนามครั้งนี้ถือเป็นการปรากฏตัวของเวียดนามในฐานะสมาชิกที่น่าไว้วางใจและรับผิดชอบของประชาคมระหว่างประเทศ ที่ได้สร้างสันติภาพกับศัตรูเก่า และเวลานี้ยังสามารถช่วยเหลือประเทศอื่นๆ ให้ทำเช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่เวียดนาม ระบุ
นับตั้งแต่พ้นจากการโดดเดี่ยวทางการทูตหลายสิบปีในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เวียดนามกระตือรือร้นที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจและภูมิภาค เพื่อช่วยรักษาสมดุลในความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยราบรื่นในทางประวัติศาสตร์กับเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่เช่นจีน ที่เผชิญหน้ากับเวียดนามในการอ้างกรรมสิทธิ์อธิปไตยเหนือทะเลจีนใต้ที่อุดมด้วยทรัพยากร
การส่งเสริมสถานะระหว่างประเทศของเวียดนามที่การประชุมซัมมิตควรมอบให้จะช่วยสนับสนุนยุทธศาสตร์ดังกล่าว
เล หาย จึง รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม กล่าวว่า สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ต่างต้องการที่จะจัดการประชุมในเวียดนาม
“มันแสดงให้เห็นว่าเวียดนามเป็นสมาชิกที่กระตือรือร้นและรับผิดชอบของประชาคมระหว่างประเทศ ต้องการที่จะมีส่วนช่วยเหลือในกระบวนการสันติภาพและนโยบายของเวียดนามคือการยกระดับนโยบายต่างประเทศแบบพหุภาคี” เล หาย จึง กล่าวกับนักข่าวเมื่อสัปดาห์ก่อน
เวียดนามอยู่ในภาวะสงครามเกือบต่อเนื่องราว 45 ปี ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงต้นทศวรรษ 1990 โดยต่อสู้กับฝรั่งเศส สหรัฐฯ จีน และเขมรแดงของกัมพูชา
การเจรจาเพื่อยุติสงครามเหล่านั้นอยู่ไกลออกไปถึงนครเจนีวาและกรุงปารีส แต่ครั้งนี้ กรุงฮานอยเป็น “เมืองเพื่อสันติภาพ” เล หาย จีง ระบุ
“เวียดนามเป็นชาติที่รักความสงบ แต่ต้องทนทุกข์จากสงคราม และโดยปกติแล้วสงครามมักสิ้นสุดลงด้วยการเจรจาสันติภาพ” รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม กล่าว
ดูเหมือนว่าเวียดนามจะรับบทบาทของการเป็นคนกลางด้วยความยินดี รัฐบาลเวียดนามสนับสนุนให้หน่วยรักษาความปลอดภัยของสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ทำงานใกล้ชิดกับการเตรียมการสำหรับการประชุมซัมมิต เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับสูงของเวียดนามกล่าวกับรอยเตอร์
เวียดนามยังยินดีที่จะได้เห็นสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเพื่อยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิเสธจะเปิดเผยชื่อ กล่าว
สงครามเกาหลีสิ้นสุดลงด้วยการสงบศึกชั่วคราวมิใช่สนธิสัญญา และเกาหลีเหนือยินดีที่จะลงนามในสนธิสัญญา แม้สหรัฐฯ เรียกร้องการปลดอาวุธนิวเคลียร์เป็นอย่างแรก
เจ้าหน้าที่ยังระบุว่า เวียดนามยังกระตือรือร้นที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งที่ 3 ระหว่างสองผู้นำอีกด้วย
การประชุมซัมมิตที่ประสบความสำเร็จจะยิ่งส่งเสริมสถานะของเวียดนาม เหวียน กวี บิ่ง อดีตทูตและผู้แทนถาวรเวียดนามประจำสหประชาชาติ กล่าว
“เสียงของเวียดนามจะมีน้ำหนักมากขึ้น ประเทศที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างรับผิดชอบและน่าเชื่อถือ ประเทศที่น่าไว้วางใจ จะมีเสียงที่ต่างออกไป” เหวียน กวี บิ่ง กล่าวกับรอยเตอร์
บิ่ง อ้างถึงข้อพิพาททะเลจีนใต้ที่เป็นประเด็นอ่อนไหว และกล่าวว่าสหรัฐฯ สามารถช่วยรักษาสมดุลอำนาจในระดับภูมิภาค และรับประกันความมั่นคง
“หากเวียดนามสามารถทำสิ่งนี้ได้ดี เสียงและชื่อเสียงของเวียดนามในความสัมพันธ์ของประเทศกับชาติต่างๆ จะได้รับประโยชน์” บิ่ง กล่าว
นักการทูตชาวตะวันตกและเอเชีย กล่าวว่า พวกเขาคาดหวังว่าเวียดนามจะพยายามสนับสนุนการปฏิรูปในเกาหลีเหนือที่ได้จากซัมมิต
การเป็นประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่หมุนเวียนกันในชาติสมาชิกในปีหน้าของเวียดนาม และความเป็นไปได้ในการเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่งคงแห่งสหประชาชาติในปี 2564 จะยิ่งช่วยส่งเสริมความพยายามเหล่านั้น
“การเป็นเจ้าภาพในงานสำคัญเช่นนี้เป็นความก้าวหน้าสำหรับฮานอย โดยส่วนตัวแล้ว เจ้าหน้าที่เวียดนามค่อนข้างมีความสุขกับสิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น มันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขา” นักการทูตอาวุโสชาวตะวันตก กล่าว.