เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่ และประชาชนชาวพม่าต่างโดดออกมาปกป้องนางอองซานซูจี ในวันนี้ (13) หลังองค์การนิรโทษกรรมสากลถอดรางวัลเกียรติยศสูงสุดของพวกเขา อันเนื่องจากความไม่แยแสของซูจีต่อการกระทำอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับชาวมุสลิมโรฮิงญา ความเคลื่อนไหวของต่างชาติที่ส่งผลให้การสนับสนุนต่อผู้นำพลเรือนเพิ่มทวีคูณท่ามกลางการเผชิญหน้ากับความไม่พอใจจากทั่วโลก
ชื่อเสียงในระดับสากลของซูจีในฐานะนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนกำลังด่างพร้อย และความเคลื่อนไหวขององค์การนิรโทษกรรมสากลถือเป็นการถอดรางวัลครั้งล่าสุด จากที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งก่อนหน้านี้จากหน่วยงานองค์กรต่างๆ เช่น ในเดือนก่อน แคนาดาได้ถอดสถานะพลเมืองกิตติมศักดิ์ที่เคยมอบให้แก่ซูจี และพิพิธภัณฑ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสหรัฐฯ ได้ถอดรางวัลสิทธิมนุษยชนเมื่อเดือน มี.ค.
สำหรับรางวัลทูตแห่งความสำนึกดีที่องค์การนิรโทษกรรมสากลมอบให้แก่ซูจีในปี 2009 ยังเคยมอบให้แก่บุคคลต่างๆ เช่น เนลสัน แมนเดลา มาลาลา ยูซาฟไซ และอ้าย เว่ย เว่ย
“วันนี้ เรารู้สึกท้อใจอย่างที่สุดที่คุณไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ความกล้าหาญ และผู้พิทักษ์ปกป้องสิทธิมนุษยชนได้อีกต่อไป” คูมิ ไนดู เลขาธิการองค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุในจดหมายที่ส่งถึงซูจี และเผยแพร่โดยองค์กรแห่งนี้
“องค์การนิรโทษกรรมสากลไม่สามารถที่จะรับรองสถานะของคุณต่อในฐานะผู้รับรางวัลทูตแห่งความสำนึกดีได้อีกต่อไป และด้วยประการนี้ เราจึงขอเพิกถอนรางวัลจากคุณด้วยความเศร้าใจยิ่ง” องค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุ
แต่สำหรับประชาชนภายในประเทศ ซูจียังคงเป็นที่นิยมอย่างมาก รวมถึงภายในพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของซูจี ที่ชนะการเลือกตั้งในปี 2559 สิ้นสุดการปกครองของรัฐบาลที่ทหารให้การสนับสนุน
การถอดถอนรางวัลต่างๆ ไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อศักดิ์ศรีของซูจี แต่ยังรวมถึงสมาชิกพรรค NLD ทั้งหมด โฆษกพรรค NLD กล่าว และเสริมว่า เขาคิดว่าสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสมคบคิดอย่างกว้างขวาง
“องค์กรต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดกำลังทำงานให้เบงกาลีที่ออกจากประเทศไปเพื่อเรียกร้องสัญชาติ” เมียว ยุ้น โฆษกพรรค NLD กล่าว โดยใช้คำว่าเบงกาลีในการอ้างถึงชาวโรฮิงญา
อ่อง หล่า ตุน รัฐมนตรีช่วยกระทรวงข้อมูลข่าวสาร กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วเขารู้สึกเสียใจและผิดหวังกับการประกาศขององค์การนิรโทษกรรมสากล และระบุว่า ซูจีกำลังได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
“ความเคลื่อนไหวเช่นนี้มีแต่จะยิ่งทำให้ประชาชนรักเธอมากขึ้น” อ่อง หล่า ตุน กล่าว
ประชาชนชาวพม่าตามท้องถนนในนครย่างกุ้งต่างแสดงความเห็นถึงการปลดรางวัลที่เกิดขึ้นดังกล่าว
“การถอดรางวัลของพวกเขาเหมือนการกระทำของพวกเด็กๆ ที่เมื่อเด็กเข้ากันไม่ได้ก็หยิบของเล่นคืน” ขิ่น หม่อง เอ อายุ 50 ปี กล่าว
“เราไม่ต้องการรางวัลพวกเขา” เต เต ชาวพม่าอายุ 60 ปี กล่าว
ชาวโรฮิงญามากกว่า 720,000 คน ต้องอพยพข้ามแดนไปบังกลาเทศจากการปราบปรามของทหารที่เริ่มขึ้นในเดือน ส.ค.2560 และผู้ลี้ภัยได้อ้างถึงเรื่องราวการกระทำที่ทารุณโหดร้าย ทั้งการสังหาร การข่มขืน การทรมาน และการวางเพลิง แต่ทหารกล่าวว่า พวกเขาป้องกันตนเองจากกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญา.