เอเอฟพี - จิม แมตทิส รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เดินทางเยี่ยมชมสถานที่ที่เคยใช้จัดเก็บฝนเหลือง ทางภาคใต้ของเวียดนามวันนี้ (17) สถานที่ที่เป็นบทหนึ่งของความมืดหม่นที่สุดของสงคราม ที่อาศัยอยู่กับชาวเวียดนามหลายล้านคนพร้อมกับความพิการแต่กำเนิด โรคมะเร็ง และความพิการที่เชื่อมโยงกับสารพิษดังกล่าว
ใกล้กับทุ่งหญ้าที่ปนเปื้อนสารไดออกซิน แมตทิส สำรวจแผนที่สนามบินเบียนฮว่า นอกนครโฮจิมินห์ หนึ่งในพื้นที่หลักสำหรับจัดเก็บสารเหลือง ที่ถูกกำจัดอย่างเร่งด่วนในช่วงสงครามใกล้สิ้นสุดลงเมื่อกว่า 40 ปีก่อน
กองทัพสหรัฐฯ โปรยฝนเหลืองมากกว่า 80 ล้านลิตรเหนือพื้นที่เวียดนามใต้ ในระหว่างปี 2505-2514 เพื่อทำลายต้นไม้ที่เป็นแหล่งกำบัง และอาหาร ให้กองกำลังเวียดกงต้องออกจากที่หลบซ่อน
ที่สนามบินเบียนฮว่า สารเคมีที่หกทะลักจากปฏิบัติการกำจัดทำลายเชื่อว่าไหลซึมไปยังพื้นที่ที่อยู่ไกลฐานแห่งนี้ ลงสู่แหล่งน้ำ แม่น้ำ และห่วงโซ่อาหาร และยังเชื่อมโยงไปถึงความเจ็บป่วยพิการทั้งร่างกายและจิตใจในหมู่ชาวเวียดนามหลายชั่วอายุคน ที่ปรากฏอาการตั้งแต่ศีรษะบวมโต ไปจนถึงแขนขาผิดรูป
ภายใต้ความพยายามฟื้นฟูนาน 10 ปี ของหน่วยงานพัฒนา USAID การทำงานมีกำหนดเริ่มขึ้นปีหน้า เพื่อทำความสะอาดสนามบินเบียนฮว่า ที่เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีสารไดออกซินหลงเหลือมากที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม
สารเหลืองจำนวนมากถูกจัดเก็บที่เบียนฮว่า ภายในถังบรรจุเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ในช่วงสงคราม และภายใต้แผนปฏิบัติการ Pacer Ivy ในปี 2515 ทหารสหรัฐฯ เริ่มย้ายสารเหลืองออกจากเวียดนามใต้ไปจัดเก็บและกำจัดนอกประเทศ
“ในปฏิบัติการดังกล่าว การขนถ่ายมีการรั่วไหลเกิดขึ้นจำนวนมาก และนั่นเป็นสิ่งที่เราเผชิญอยู่” เจ้าหน้าที่ ระบุ
คำมั่นสัญญาที่จะเก็บกวาดพื้นที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา ด้วยทุนราว 390 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทางการกรุงฮานอย ระบุว่า ชาวเวียดนามมากถึง 3 ล้านคน สัมผัสกับสารเหลือง และราว 1 ล้านคน ต้องทนทุกข์กับปัญหาสุขภาพอย่างหนักในทุกวันนี้ รวมทั้งเด็กอย่างน้อย 150,000 คน ที่พิการแต่กำเนิด
แมตทิส กล่าวว่า การเยือนพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งในความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ที่จะแก้ไขบางส่วนของสงครามที่คร่าชาวเวียดนามราว 3 ล้านคน
“เราได้สัญญาว่าจะช่วยเหลือ ดังนั้น นี่คือการรักษาสัญญาที่จะแก้ไขเยียวยาบางอย่างในอดีต” แมตทิส กล่าวกับนักข่าวในสัปดาห์นี้
“ผมเพียงต้องการที่จะเห็นสถานที่ด้วยตาตัวเอง เมื่อผมกลับมาและพูดคุยกับสภาคองเกรส ผมสามารถบอกพวกเขาถึงสิ่งที่ผมประสบในพื้นที่ด้วยตัวเอง” แมตทิส กล่าวก่อนเดินทางเยือน
รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีที่สนามบินเบียนฮว่า พบหารือกับเจ้าหน้าที่ทหารเวียดนาม ใกล้กับป้ายเตือนที่มีข้อความระบุว่า “วัตถุอันตราย”
ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตศัตรูอบอุ่นขึ้นนับตั้งแต่สิ้นสุดสงคราม และปัจจุบันนี้ วอชิงตันเป็นหนึ่งในพันธมิตรทางทหาร และทางการเมืองที่ใกล้ชิดที่สุดและเป็นหุ้นส่วนทางการค้าของฮานอย
ครั้งนี้เป็นการเยือนเวียดนามครั้งที่ 2 ของแมตทิสในปีนี้ หลังเยือนกรุงฮานอยเมื่อเดือน ม.ค. ที่ตามมาด้วยการเยือนครั้งประวัติศาสตร์ของเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ ในเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นการเทียบท่าเวียดนามครั้งแรกนับตั้งแต่สงคราม
นอกจากสนามบินเบียนฮว่าแล้ว สหรัฐฯ และเวียดนาม ยังกำหนดให้ฐานทัพอากาศที่นครด่าหนัง และฝูก๊าต เป็นเขตที่มีสารพิษไดออกซิน
โครงการทำความสะอาดกำจัดสารพิษด่าหนังที่เพิ่งเสร็จสมบูรณ์ไป ใช้งบประมาณราว 110 ล้านดอลลาร์ แต่ปฏิบัติการทำความสะอาดเบียนฮว่านั้นมีพื้นที่ใหญ่กว่าโครงการด่าหนังถึง 4 เท่า เจ้าหน้าที่ USAID กล่าว
ชัค เซิร์สซี่ ทหารผ่านศึกที่เคยประจำการในเวียดนามระหว่างปี 2510-2511 และเวลานี้อาศัยอยู่ในกรุงฮานอย ระบุว่า เขาดีใจกับการเยือนเวียดนามของแมตทิส รวมทั้งการเยือนเบียนฮว่า และหวังให้การเยือนครั้งนี้ช่วยระดมทุนได้มากขึ้นเพื่อนำมาใช้กำจัดสารไดออกซิน
“การเยือนของเขามีความสำคัญเพราะมันสะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในส่วนของกระทรวงกลาโหมที่จะมีส่วนร่วมกับประเด็นปัญหานี้ในทางสร้างสรรค์ พวกเราหลายคนรอให้ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว” เซิร์สซี่ ที่ทำงานในโครงการ RENEW ซึ่งกำจัดวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดในเวียดนาม กล่าว.