xs
xsm
sm
md
lg

เวียดนามเนื้อหอม กลาโหมสหรัฐฯ เยือนถี่ คานอิทธิพลจีนในภูมิภาค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอพี - จากการเดินทางเยือนเวียดนามเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ จิม แมตทิส รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณถึงความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในการต่อต้านการขยายแสนยานุภาพทางทหารอย่างแข็งขันของจีน ด้วยการสานสัมพันธภาพกับชาติเล็กๆ ในภูมิภาค

การเยือนที่เริ่มขึ้นในวันอังคารยังแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนามนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเวียดนาม

แมตทิส นายทหารเกษียณอายุ สังกัดเหล่านาวิกโยธินยศพลเอก เคยเยือนกรุงฮานอยในเดือน ม.ค. ที่การเยือนครั้งนั้นเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนครบรอบ 50 ปี เหตุการณ์การรุกตรุษญวนปี 1968 เหตุการณ์การโจมตีของนักรบเวียดนามเหนือ ที่แม้จะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่สร้างความประหลาดใจให้แก่วอชิงตัน และก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านสงครามในหมู่ชาวสหรัฐฯ

3 เดือนต่อมา หลังการเยือนของแมตทิส เรือยูเอสเอส คาร์ล วิลสัน เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ ได้เข้าเทียบท่านครด่าหนังเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่สงครามเวียดนาม และเป็นสัญญาณเตือนจีนว่า สหรัฐฯ มีเจตนาที่จะเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อคานอำนาจทางทหารที่ขยายตัวของจีน

การแสดงออกอย่างชัดเจนที่สุดในการขยายอำนาจของจีน คือ การเปลี่ยนเกาะเล็กเกาะน้อยต่างๆ ในน่านน้ำพิพาททะเลจีนใต้ ให้กลายเป็นค่ายทหารทางยุทธศาสตร์ ซึ่งรัฐบาลทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์จีนอย่างหนัก จากการติดตั้งฐานยิงจรวดแบบพื้นสู่อากาศ และอาวุธต่างๆ ตามค่ายเหล่านี้ และในเดือน มิ.ย. แมตทิส กล่าวว่า การติดตั้งอาวุธมีจุดประสงค์เพื่อใช้ข่มขู่ และคุกคาม

ในครั้งนี้ แมตทิส จะเดินทางเยือนนครโฮจิมินห์ เมืองที่มีประชากรหนาแน่นสุดของเวียดนาม และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ และเยือนฐานทัพอากาศเบียนฮว่า ฐานทัพสำคัญของกองกำลังอเมริกันในช่วงสงคราม และพบกับรัฐมนตรีกลาโหมเวียดนาม

การเยือนคราวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศ หลังประธานธิบดีเจิ่น ได กวาง ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อเดือน ก.ย. และเมื่อต้นเดือน พรรคคอมมิวนิสต์ได้เสนอชื่อนายเหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรค รับตำแหน่งประธานาธิบดีเพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งคาดว่าจะได้รับการรับรองจากรัฐสภา

แม้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางการเยือนของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ แต่สำหรับการเยือนถึง 2 ครั้งใน 1 ปี นั้นไม่ใช่เรื่องปกติ และนครโฮจิมินห์ มักไม่ค่อยปรากฏอยู่ในเส้นทางการเยือน โดยนายใหญ่เพนตากอนที่เยือนนครโฮจิมินห์คนล่าสุด คือ วิลเลียม โคเฮน เมื่อปี 2543 เขาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ คนแรกที่เยือนเวียดนามนับตั้งแต่สงคราม และความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศคืนสู่ระดับปกติในปี 2538 และสหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการห้ามค้าอาวุธในปี 2559

ตามกำหนดเดิมนั้น การเดินทางเยือนต่างประเทศของแมตทิส ยังรวมถึงการเยือนกรุงปักกิ่ง แต่ถูกยกเลิกท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงจากประเด็นปัญหาการค้าและการป้องกันประเทศ จีนยังไม่อนุญาตให้เรือรบของสหรัฐฯ เทียบท่าที่ฮ่องกง และช่วงฤดูร้อนผ่านมา แมตทิสไม่ได้เชิญจีนเข้าร่วมฝึกซ้อมรบทางทะเลครั้งใหญ่ในแปซิฟิก ขณะที่จีนเรียกร้องให้วอชิงตันเลิกขายอาวุธให้ไต้หวัน

ความตึงเครียดเหล่านี้ยิ่งเน้นย้ำถึงศักยภาพการเป็นหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งขึ้นของสหรัฐฯ กับเวียดนาม

ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิภาคเอเชียจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงหลายปีมานี้ เวียดนามเปลี่ยนจากนโยบายด้านการต่างประเทศ และการป้องกันประเทศที่รักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับจีนและสหรัฐฯ อย่างระมัดระวัง ไปทางฝั่งวอชิงตันมากขึ้น โดยมีแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายบางอย่างของทรัมป์ เช่น ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ที่ต้องการให้ภูมิภาคเสรีและเปิดกว้าง ปราศจากการบีบบังคับและรักษาเส้นทางเดินเรือ โดยเฉพาะทะเลจีนใต้ ให้เปิดกว้างสำหรับการค้าระหว่างประเทศ

“เวียดนามเป็นประเทศที่ยังกังขาในนโยบายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของจีนมากที่สุด ทำให้เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์โดยธรรมชาติที่สุดของสหรัฐฯ” ผู้เชี่ยวชาญ กล่าว.
กำลังโหลดความคิดเห็น