เอเอฟพี - นักเคลื่อนไหวชาวเวียดนามถูกกักตัวให้อยู่แต่ในบ้าน และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ หลังกระทำสิ่งที่ทางการระบุว่า เป็นการดูหมิ่นธงชาติ โดยนักเคลื่อนไหวรายนี้ให้คำมั่นว่า จะยังเดินหน้าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศรัฐพรรคเดียวแห่งนี้ ที่ผู้เห็นต่างถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ในประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้มักไม่ค่อยอดทนอดกลั้นมากนักต่อการวิพากษ์วิจารณ์ในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการกระทำที่ถูกมองว่าเป็นการดูหมิ่นสัญลักษณ์ของชาติ เช่น ธงชาติ
ฮวีง ถึก หวี อายุ 32 ปี ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้านพัก และห้ามเดินทางออกจากประเทศจนถึงเดือน ต.ค. ขณะเดียวกัน ก็กำลังถูกสอบสวนเกี่ยวกับการดูหมิ่นธงชาติ หลังเธอป้ายสีขาวลงบนธงชาติเมื่อปีก่อน
“ธงสีแดงแสดงถึงการปกครองแบบเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่ขัดต่อความก้าวหน้าของมนุษย์ และเป็นสัญลักษณ์ของการละเมิดประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน” หวี กล่าวกับเอเอฟพีจากบ้านพักใน จ.ดั๊กลัก ทางภาคกลางของประเทศ
เป็นเรื่องปกติในเวียดนามที่ผู้ต้องสงสัยจะถูกควบคุมตัวระหว่างการสอบสวน และหากหวีกระทำความผิดจริง ก็จะเผชิญต่อโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี
หวี ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มสิทธิมนุษยชนสำหรับสตรีเวียดนาม ได้รับรางวัล Hellman/Hammett จากฮิวแมนไรท์วอทช์ ในปี 2555 จากบทความทางการเมืองเกี่ยวกับปัญหาด้านสิทธิและการข่มเหงรังแกชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์
หวี กล่าวว่า ตำรวจมาที่บ้านของเธอในช่วงเช้ามืดของวันพฤหัสฯ ยึดโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และกล้องถ่ายรูปไป ก่อนสอบปากคำเธอนาน 15 ชั่วโมง และออกคำสั่งกักตัวเธออยู่แต่ในบ้านพัก
หวี กล่าวว่า เธอมักตกเป็นเป้าหมายของเจ้าหน้าที่ แต่เธอปฏิเสธที่จะยกเลิกความตั้งใจแม้จะถูกสอบสวนก็ตาม
“ฉันจะทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำต่อไป ฉันต้องการให้เวียดนามเสรี และเป็นประชาธิปไตยเพื่อที่ลูกหลานของฉันสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข” หวี กล่าว
พ่อของหวีเป็นอดีตนักโทษการเมืองและถูกจำคุกในปี 2535 นาน 10 ปี จากการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐ
องค์การนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องปล่อยตัวหวี และระบุว่าการจับกุมไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าความพยายามที่มีแรงจูงใจทางการเมืองที่จะปิดปากหนึ่งในเสียงที่ทรงพลังสำหรับสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม
ด้านเจ้าหน้าที่เวียดนามไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอความเห็นในคดีนี้
บล็อกเกอร์ ทนายความ และนักเคลื่อนไหวจำนวนมากถูกคุมขังในเวียดนาม ประเทศที่สื่อทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ นักเคลื่อนไหวจำนวนมากหันไปใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางในการแสดงความคิดเห็น แม้เมื่อไม่นานนี้ ประเทศได้ผ่านกฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ที่ก่อความวิตกว่าการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์จะถูกควบคุม.