เอพี - ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ แสดงความวิตกกังวลอย่างมากต่อรายงานที่ระบุว่า ทหารพม่าใช้อาวุธหนัก และทิ้งระเบิดทางอากาศในพื้นที่พลเรือน ขณะที่การสู้รบกับกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ในรัฐกะฉิ่นทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก
ขณะที่ทั่วทั้งโลกมุ่งความสนใจไปที่ชะตากรรมของชาวมุสลิมโรฮิงญา สงครามกลางเมืองได้ปะทุขึ้นกับกองทัพกะฉิ่นอิสระ (KIA) ที่ทำให้พลเรือนหลายพันคนต้องพลัดถิ่นจากหมู่บ้านของตนเองใกล้ชายแดนจีน ตามการระบุของสหประชาชาติ
ยางฮี ลี ผู้แทนพิเศษด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในพม่าของสหประชาชาติ กล่าวว่า สถานการณ์ในรัฐกะฉิ่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และต้องยุติลงทันที
“พลเรือนต้องไม่ตกเป็นเป้าของความรุนแรงระหว่างเกิดความขัดแย้ง ทุกฝ่ายต้องใช้มาตรการจำเป็นทั้งหมดรับรองความปลอดภัย และความมั่นคง” ยางฮี ลี กล่าวในคำแถลง
ในรัฐกะฉิ่น กลุ่มช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ กล่าวว่า รัฐบาล และทหารออกข้อจำกัดเพิ่มขึ้นอย่างมากกับการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้พลัดถิ่นมากกว่า 100,000 คน และพลเรือนที่หลบหนีออกจากบ้านของตนเองระลอกใหม่อีกหลายพันคน โดยรัฐบาลปฏิเสธการเข้าถึงพื้นที่กับสหประชาชาติ และกลุ่มมนุษยธรรมระหว่างประเทศกลุ่มต่างๆ
“เราต้องย้ำคำเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่อนุญาตพวกเราเข้าช่วยเหลือพลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ และผู้ที่ตกอยู่ในความยากลำบาก พวกเขาละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศโดยไม่อนุญาตให้เราเดินทางเข้าไปช่วยเหลือพลเรือน” กลุ่มประชาสังคมที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในรัฐกะฉิ่น กล่าว
ยางฮี ลี กล่าวว่า เธอได้รับรายงานว่าขบวนรถเสบียงของกาชาดถูกขัดขวางเมื่อวันที่ 23 เม.ย. จากการเข้าไปยังหมู่บ้านมานวาย ที่พลเรือนมากกว่า 100 คนติดค้างอยู่นาน 3 สัปดาห์ เข้าถึงอาหาร และยาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผู้แทนพิเศษสหประชาชาติเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเปิดทางให้แก่ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
พลเรือนชาวกะฉิ่นมากกว่า 4,000 คน เดินขบวนทั่วเมืองมิตจีนา เมืองเอกของรัฐเมื่อวันจันทร์ (30) เพื่อเรียกร้องความปลอดภัยของพลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ และการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม.