MGRออนไลน์ -- ภาพถ่ายจากดาวเทียมชุดหนึ่ง ที่ถ่ายจากความสูงกว่า 500 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก เปิดเผยให้เห็นเครื่องบินรบรัสเซียจำนวน 28 ลำ จอดที่ฐานทัพอากาศคเมมีม (Khmeimim) ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย -- เป็นอีกครั้งหนึ่งที่โลกได้เห็นเทคโนโลยี การสอดแนมจากห้วงอวกาศ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าจะเป็นอีกตัวแปรหนึ่ง ที่จะช่วยชี้ขาดชัยชนะ ถ้าหากเกิดสงครามทางเวหา ที่มีขอบเขตใหญ่โตขึ้นในอนาคต
ภาพชุดล่าสุด ถูกนำขึ้นเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ในช่วงข้ามวันมานี้ โดยไม่ระบุแหล่งที่มา และ ยังไม่ทราบเจตนาของมือดี ที่ยังไม่ทราบฝ่าย แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า เป็นภาพเหตุการณ์ ที่ถ่ายโดยดาวเทียม เอรอส -เอ (EROS-A) ของบริษัท ImageSat International (ISI) แห่งอิสราเอล ซึ่งเมื่อต้นเดือนนี้ ได้มีภาพถ่ายของดาวเทียมอีกดวงหนึ่งคือ EROS-B ในโครงการเดียวกันนี้ จำนวน 2 ภาพ ที่ถ่ายต่างวันและเวลากัน ถูกนำออกเผยแพร่ แสดงให้เห็นเครื่องบินรบยุคที่ 5 ของรัสเซีย -- Su-57 -- จำนวน 2 ลำ จอดที่ฐานทัพอากาศแห่งเดียวกัน กับอีกภาพหนึ่งแสดงให้เห็นโรงจอดทรงรูปไข่ (Eliptical Hangar) สำหรับเฮลิคอปเตอร์ แห่งใหม่ล่าสุดที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อเช่นเดียวกันว่า บริษัท ISI ไม่ได้นำภาพเหล่านี้ ออกเผยแพร่สู่สาธารณชนด้วยตัวเอง แต่น่าจะเป็นลูกค้ารายใดรายหนึ่ง หรือ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอิสราเอลเสียเอง ทำ "รั่ว" ออกมาโดยเจตนา อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่ออวดศักยภาพให้เห็นว่า "เรารู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่" -- นั่นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เนื่องจากว่า การปรากฎตัวของ Su-57 ได้ทำให้เกิดสถานการณ์พิเศษขึ้นในตะวันออกกลาง -- เป็นครั้งแรกที่เครื่องบินรบยุคที่ 5 ของสองขั้วตรงข้ามกัน ไปปรากฏตัวในละแวกเดียวกัน ซึ่งอีกข้างหนึ่งเป็น F-35 ของกองทัพอากาศอิสราเอล
และ เรากำลังพูดถึงภาพถ่ายจากดาวเทียม ที่ถ่ายต่างเวลากันใน 2 วัน แสดงให้เห็น 3 เหตุการณ์ ที่สนามบินคเมมีม ซึ่งได้แก่ 1) การปรากฏของโรงจอด (ฮ) ทรงรูปไข่ ถ่ายเมื่อวันที่ 18 ก.พ.2561 ถ่ายจากดาวเทียม EROS-B เป็นภาพที่ถ่ายเวลากลางคืน (ภาพ 5) -- 2) การปรากฏของ Su-57 จำนวน 2 ลำ กับเครื่องบินรบอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ถ่ายเวลากลางคืน เมื่อวันที่ 23 ก.พ. (ภาพ 4) และ 3) ภาพชุดล่าสุดแสดงให้เห็นเครื่องบินรบรัสเซีย 28 ลำ และ เป็นภาพถ่ายเวลากลางวัน (ภาพ 1-3)
ภาพเมื่อวันที่ 18 และ 23 ก.พ. ระบุพิกัดกำกับเอาไว้ชัดเจน อันเป็นตำแหน่งที่ตั้งของ ฐานทัพอากาศศูนย์ปฏิบัติการ ของกองทัพรัสเซียในซีเรีย ส่วนภาพล่าสุดจำนวน 3-4 ภาพ ซึ่งถ่ายเวลากลางวัน วันที่ 23 ก.พ. ไม่แสดงพิกัดกำกับ แต่เป็นภาพสนามบินแห่งเดียวกัน -- ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ภาพความชัดเจนสูงทั้ง 3 ชุด เป็นผลงานของดาวเทียมอิสราเอล 2 ดวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ EROS-B ได้ชื่อเป็นดาวเทียมพาณิชย์ดวงแรก ที่สามารถถ่ายภาพกลางคืน มีความคมชัดถึงระดับ 8 เซ็นติเมตร เหนือพื้นอีกด้วย -- ในการวัดแบบ Optical ซึ่งเป็นความชัดเจน ในระยะมาโคร (Macro)
.
ภาพถ่ายเวลากลางวัน (โดย EROS-A) เมื่อวันที่ 23 ก.พ. เผยแพร่โดยเจ้าของทวิตเตอร์ชื่อภาษาอาหรับคนหนึ่ง ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมมีบรรยายกำกับเอาไว้ว่า ที่ฐานทัพคเมมีม มีเครื่องบินรบแบบต่างๆ คือ Su-24 (7) Su-25 (5) Su-30 (4) Su-34 (5) Su-35 (6) และ Su-57 อีก 1 ลำ รวมเป็นทั้งหมด 28 ลำ ไม่นับรวมอากาศยานอื่นๆ ซึ่งรวมทั้งเฮลิคอปเตอร์โจมตีทั้ง Mi-28 กับ Ka-52 อีกจำนวนหนึ่งด้วย
หากเทียบภาพ 1 ที่ถ่ายเวลากลางวัน กับภาพ 4 ซึ่งถ่ายเวลากลางคืน จะเห็นได้ว่า Su-57 หนึ่งลำ ไม่ได้อยู่ที่ฐานทัพแห่งนี้ (ในภาพ 1) และ ทั้งสองภาพยังบอกอีกว่า ดาวเทียมทั้ง 2 ดวง ผลัดกันโคจรผ่านพิกัดนี้ 2 ครั้ง ในรอบ 24 ชั่วโมง และ ยังมีขีดความสามารถ ในการใช้แสงเวลากลางคืน ที่มีเพียงน้อยนิด ในการถ่ายภาพให้มีความชัดเจนสูงได้ -- นี่คือ สิ่งที่ (เคย) เป็นความลับสุดยอด
ตามข้อมูลในเว็บไซต์ของ ISI ดาวเทียม EROS หรือ Earth Resources Observation Satellite เป็นโครงการเผยแพร่ภาพถ่าย เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยผู้ที่จะสามารถเข้าถึงได้ ต้องสมัครเป็นสมาชิก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร -- บริษัทนี้จะส่งดาวเทียมในโครงการขึ้นสู่อวกาศ อีก 1 ดวงในปีหน้า คือ EROS-C และจะเป็นดวงที่สาม
แต่หากมองที่มาที่ไปของโครงการ EROS ก็จะพบว่า มีจุดประสงค์ทางการทหารซ่อนเร้นอยู่ไม่น้อย -- ดาวเทียมทั้งหมดในโครงการออกแบบและสร้าง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมอวกาศแห่งอิสราเอล หรือ Israel Aerospace Industries ตามโครงสร้างของดาวเทียม "โอเฟ็ก-3" (Ofeg-3) ซึ่งเป็นดาวเทียมสอดแนมของกระทรวงกลาโหม สร้างโดย IAI เช่นกัน
โครงการดาวเทียมเอรอส ยังมีบริษัทเอลบิต (Elbit Systems) กับ บริษัทเทคโนโลยีกลาโหมอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง สนับสนุนด้านชิ้นส่วน รวมทั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเซ็นเซ่อร์ต่างๆ -- เอลบิตซีสเต็มส์ เป็นบริษัทเดียวกัน กับที่กำลังช่วยกองทัพไทย พัฒนายกระดับปืนใหญ่ 105 มม. แบบลากจูง ให้เป็น ป.อัตตาจร รวมทั้งช่วยพัฒนา และสร้างจำนวนหนึ่งด้วย
ถึงแม้ว่าจุดประสงค์ของโครงการ EROS จะเป็นการถ่ายภาพพื้นโลก เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางพลเรือน ไม่ว่าจะเป็นทางการเกษตร ด้านควบคุมมลพิษและบริหารจัดการสภาพแวดล้อม การควบคุมและจัดผังเมือง และ อื่นๆ อีกมากมายก็ตาม แต่ในที่สุดก็ได้ปรากฏความจริงว่า ดาวเทียมทั้งสองดวง ถูกส่งขึ้นสอดแนม การพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่เป็นศัตรูคู่แค้น หรือ "มวยคู่เอก" ที่ดูสูสีกันมากที่สุด ในตะวันออกกลางปัจจุบัน
.
ภาพถ่ายชุดล่าสุด ยังช่วยยืนยันอีกทางหนึ่งว่า ดาวเทียม EROS ใช้ประโยชน์ทางการทหารได้เป็นอย่างดี ไม่ต่างไปจากดาวเทียมของค่ายแอร์บัส ซึ่งเป็นอีกระบบหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นความเคลื่อนไหวของฝ่ายรัสเซียในซีเรีย และ การเคลื่อนไหวของจีน มาหลายครั้ง
ทั้งนี้ยังไม่ได้นับรวมดาวเทียมทหาร ของประเทศต่างๆ ที่ส่งขึ้นสู่อวกาศ ตั้งแต่ยุคสงครามเย็นเป็นต้นมา และ เชื่อกันว่าปัจจุบัน ยังมีใช้การได้อยู่จำนวนนับร้อยดวง เพียงแต่ไม่มีฝ่ายใดทราบข้อมูลที่แท้จริง และ ไม่มีฝ่ายใดเต็มใจที่จะเปิดเผย จนกระทั่งเมื่อดาวเทียมพวกนี้หมดอายุ ถูกดึงเข้าสู่แรงโน้มถ่วง ก่อนจะตกลงกระทบผืนน้ำในมหาสมุทร หรือบนพื้นโลก จึงจะมีการประกาศเป็นครั้งๆ -- ดาวเทียมเหล่านี้ เกือบทั้งหมดเป็นชนิดวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit Satellite) อยู่เหนือพื้นโลกเพียง 200 กม.เศษ
แต่เทคโนโลยีถ่ายภาพดิจิตอลความชัดเจนสูง ที่ก้าวหน้ามากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ดาวเทียมทหาร สามารถอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นไปได้อีก ซึ่งทำให้ยากต่อการยิงทำลายโดยฝ่ายอริมากยิ่งขึ้น -- ไม่มีฝ่ายใดทราบข้อมูลแน่ชัดอีกเช่นกันว่า ปัจจุบันมี "ดาวเทียมจารกรรม" ที่อยู่ในวงโคจรสูงขึ้นไปจำนวนเท่าไร และ เป็นของใครบ้าง -- นอกจากนั้นก็ยังไม่มีฝ่ายใดเต็มใจ จะเปิดเผยความจริงว่า ดาวเทียมจารกรรมชนิดอยู่ประจำที่ (Geostationary) ที่อยู่สูงขึ้นไปหลายหมื่น กม. -- ในปัจจุบัน มีอยู่ทั้งหมดกี่ดวง
โลกภายนอกได้ทราบแต่เพียงว่า มีดาวเทียมชนิด "ลอยอยู่กับที่" อยู่หลายดวง ที่ใช้ประโยชน์ด้านอุตุนิยม และ ติดตามความเคลื่อนไหวของพายุรุนแรง ในอาณาบริเวณใดบริเวณหนึ่งเฉพาะ ติดตามการกัดเซาะชายฝั่งของน้ำทะเล รวมทั้งติดตามเหตุการณ์ การลักลอบตัดไม้ทำลายป่าหรือไฟป่า ซึ่งรวมทั้งดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นดวงหนึ่ง ที่สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่ง บนผืนน้ำทะเลแปซิฟิกทั้งมวล จากความสูง 35,786 กม.
ไม่กี่ปีมานี้ คนทั้งโลกได้เห็นภาพลับๆ ลวงๆ ที่ถ่ายจากดาวเทียมจำนวนมาก ทั้งดาวเทียมพาณิชย์ ดาวเทียมทหาร -- แม้ดาวเทียมอุตุนิยม ก็สามารถเก็บภาพ ที่มีความล่อแหลมด้านความมั่นคง ได้เช่นเดียวกัน
ต้องไม่ลืมว่า โลกภายนอกไม่ได้ทราบข่าว การซ่อมเรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง (Liaoning) เป็นครั้งแรก จากการเปิดเผยโดยฝ่ายจีนเอง -- หากทราบจากภาพถ่ายโดยดาวเทียมพาณิชย์ของแอร์บัส -- และ ได้เห็นจีนต่อเรือบรรทุกเครื่องบินของตนเองลำแรก หรือ กระทั่งการขึ้นบินทดสอบ เครื่องบินรบ J-20 เป็นครั้งแรก จนถึงได้ทราบความคืบหน้า การสร้างเกาะเทียมในทะเลจีนใต้ ฯลฯ -- ล้วนจากภาพถ่ายดาวเทียมพาณิชย์ของโลกตะวันตกทั้งสิ้น นอกจากนี้ดาวเทียมของแอร์บัส ก็ยังเผยแพร่ภาพการต่อเรือรบลำใหม่ๆ ของจีน ออกมาเป็นระยะอีกด้วย
.
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ทั้งสหรัฐ จีน โซเวียต/รัสเซีย กับมหาอำนาจตะวันตก ทุกประเทศล้วนมีดาวเทียมจารกรรม ประสิทธิภาพสูงเป็นของตนเอง ส่วนของใครจะเหนือไปกว่าใครนั้น ไม่มีฝ่ายใดเต็มใจพูดถึง -- ทุกอย่างถูกปิดเป็นความลับสุดยอด เพื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์จริง ในยามจำเป็นต้องใช้ ประเด็นอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวง ให้จารชนของแต่ละฝ่ายทำงานหนัก ล้วงความลับระหว่างกันต่อไป
การใช้ประโยชน์จากดาวเทียมเพื่อการทหาร มีมานานหลายทศวรรษเช่นที่ทราบกันดี แต่เมื่อไม่นานมานี้โลกได้เห็นความก้าวหน้า ในการใช้ดาวเทียม ในการยิงอาวุธปล่อยนำวิถีชนิดร่อน (Cruise Missiles) โจมตีเป้าหมายบนพื้นดิน ไม่ว่าจะเป็นจรวดโทมาฮอว์ค ยิงจากเรือรบ กับเรือดำน้ำสหรัฐ ซึ่งได้เห็นอีกครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ เมื่อสหรัฐยิงถล่มฐานทัพอากาศเก่าแก่ แห่งหนึ่งในซีเรีย จากเรือรบในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน โลกก็ได้เห็นเทคโนโลยีจรวดร่อนของฝ่ายรัสเซีย -- ยิงขึ้นจากเรือรบในทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) อาวุธปล่อยนำวิถีทั้งหมด "ร่อน" เป็นระยะทางกว่า 1,500 กม. ผ่านดินแดนอิหร่านกับอิรัก ไปถล่มที่ตั้งกลุ่มก่อการร้ายไอซิสกว่า 10 แห่งในซีเรีย -- ทั้งหมดนำวิถีโดยระบบดาวเทียมโกลนาส (GLONASS) ที่ทราบกันดีว่า สหภาพโซเวียตพัฒนามา ตั้งแต่ในช่วงสงครามเวียดนาม และ เริ่มใช้กับระบบอาวุธปล่อยชนิดต่างๆ ในช่วงทศวรรษที่ 1980 แต่ทั่วโลกเพิ่งได้เห็น การใช้งานจริงครั้งแรกในซีเรีย
ในบางครั้งเรื่องเครียดๆ เกี่ยวกับการทหาร ก็ยังมีแง่มุมสนุกๆ แฝงอยู่ด้วย กรณีภาพดาวเทียมชุดล่าสุดก็เช่นเดียวกัน
ตามข้อมูลของ SIS ดาวเทียม EROS ทั้ง A และ B ถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศ โดยจรวดของรัสเซีย ยิงขึ้นจากฐานยิงสโวบ็อดนี (Svobodny) ทางตะวันออกแคว้นไซบีเรีย ในปี 2543 และ ปี 2549 ตามลำดับ
.
.
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า กองทัพอากาศรัสเซียส่ง Su-57 เข้าซีเรียลำแรก เมื่อวันที่ 21 ก.พ. โดยไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ และ ส่งลำที่ 2 ตามกันเข้าไป ถึงฐานทัพอากาศคเมมีม ในคืนวันที่ 22 -- ทั้งสองลำยังเป็นเพียงเครื่องบินทดสอบ ในจำนวนทั้งหมด 10 ลำ ที่ทยอยผลิต จนถึงปีที่แล้ว และ ทั้งหมด ยังไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบ
รัสเซียอาจจะไม่เคยคาดคิดก็ได้ว่า วันรุ่งขึ้นดาวเทียมเอรอส ทั้ง A และ B จะโคจรผ่านสนามบินคเมมีม เป็นมุมตั้งฉาก และ ยืนยันการปรากฏตัวของ Su-57 ทั้งสองลำ -- ก่อนจะมีการแถลงโดยกระทรวงการต่างประเทศ ในกรุงมอสโกด้วยซ้ำ
นอกจากนั้น ทั้ง EROS-A กับ EROS-B ยังถ่ายภาพเครื่องบินรบแบบอื่นๆ ทั้งหมด ในฐานทัพสำคัญ ให้เป็นโบนัสแก่ชาวโลกอีกด้วย -- ยังไม่มีฝ่ายใดพูดถึงว่า กรณีนี้จะส่งผลกระทบ ต่อการส่งดาวเทียม EROS-C ในปี 2019 นี้หรือไม่ -- แต่เชื่อว่ารัสเซียไม่ตลกกับภาพถ่ายเหล่านี้ อย่างแน่นอน
รัสเซียถอน Su-57 ออกจากซีเรียในอีก 2 วันถัดมา โดยระบุแต่เพียงว่า การทดสอบเป็นเวลาสองวัน ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับการสู้รบจริง ได้บรรลุผลแล้ว.