รอยเตอร์ - พม่าได้เข้าไถซากหมู่บ้านชาวมุสลิมโรฮิงญาจนเรียบเพื่อเปิดทางสำหรับการตั้งถิ่นฐานของผู้ลี้ภัย ไม่ใช่การทำลายหลักฐานการกระทำทารุณ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลการฟื้นฟูพื้นที่ตอนเหนือของรัฐยะไข่เผยวันนี้ (26)
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุว่า จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมเผยให้เห็นว่าพม่าได้ปรับหน้าดินหมู่บ้านอย่างน้อย 55 แห่ง ในรัฐยะไข่ รวมถึงหมู่บ้าน 2 แห่ง ที่ดูยังไม่เสียหายก่อนเครื่องจักรหนักมาถึง
กลุ่มเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชนแห่งนี้ ระบุว่า การทำลายดังกล่าวอาจลบล้างหลักฐานการกระทำทารุณต่างๆ ของกองกำลังรักษาความมั่นคง ที่สหประชาชาติ และสหรัฐฯ ระบุว่า เป็นการกวาดล้างชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยโรฮิงญา
การปราบปรามของทหารที่เกิดขึ้นเนื่องจากกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาโจมตีด่านตำรวจกว่า 30 จุด และค่ายทหารเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ได้ผลักดันให้ชาวโรฮิงญาราว 688,000 คน หลบหนีข้ามแดนไปบังกลาเทศ และหลายคนกล่าวหาว่า ทหาร และตำรวจได้ก่อเหตุทารุณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสังหาร การข่มขืน และการวางเพลิง
พม่าปฏิเสธข้อกล่าวหาเป็นส่วนใหญ่ และร้องขอหลักฐานการละเมิดต่างๆ ขณะเดียวกัน ก็ปฏิเสธที่จะให้นักข่าวอิสระ ผู้ตรวจสอบสิทธิมนุษยชน และผู้สืบสวนของสหประชาชาติเข้าไปในพื้นที่ขัดแย้งดังกล่าว
อ่อง ตุน เต๊ต นักเศรษฐศาสตร์ ที่เป็นประธานคณะกรรมการขององค์กรเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การตั้งถิ่นฐาน และการพัฒนา (UEHRD) ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือน ต.ค. ระบุว่า หมู่บ้านต่างๆ กำลังถูกปรับผิวดินเพื่อให้สะดวกกับรัฐบาลในการตั้งถิ่นฐานใหม่ให้แก่ผู้ลี้ภัย โดยให้อยู่ใกล้ที่สุดเท่าที่เป็นได้กับที่อยู่อาศัยเดิมของพวกเขา
“เราไม่มีความประสงค์ที่จะกำจัดสิ่งที่เรียกว่าหลักฐาน สิ่งที่เราตั้งใจคือ ให้แน่ใจว่าสิ่งปลูกสร้างต่างๆ สำหรับประชาชนที่จะเดินทางกลับสามารถสร้างขึ้นได้โดยง่าย” อ่อง ตุน เต๊ต กล่าวต่อนักข่าว ตอบโต้ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทำลายหลักฐาน
อ่อง ตุน เต๊ต ยังระบุว่า พม่าจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อทำให้แน่ใจว่าการส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศดำเนินการตามข้อตกลงที่ลงนามกับบังกลาเทศในเดือน พ.ย. ที่จะดำเนินไปอย่างเป็นธรรม มีเกียรติ และปลอดภัย.