xs
xsm
sm
md
lg

สถิติปีใหม่เวียดนามกำลังจะมี "หนุ่มทึนทึก" กว่า 2 ล้านคน .. ไร้คู่ ต้องอยู่เดียวดาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<br><FONT color=#00003>เด็กๆ สวมหมวกซานตาคลอส ที่วิหารเซ็นต์โยเซฟ ในกรุงฮานอย 21 ธ.ค.2559 ตอนนี้ยังไม่รู้อะไร แต่ 18-19 ปีข้างหน้า จะเริ่มเป็นปัญหา หนึ่งในจำนวนที่เห็นนี้ อาจโตขึ้นมาเป็น หนุ่มทึนทึก หาคู่ครองไม่ได้.  -- Reuters/Kham. </a>

MGRออนไลน์ -- ชาวเวียดนามกว่า 90 ล้านคน ผ่านปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ 2561 พร้อมกับข่าวดีมากมาย แต่ข่าวร้ายก็ไม่น้อย ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศขยายตัวในอัตราสูง รายได้ครัวเรือน กับรายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรเพิ่มสูงขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้จะมีความหมายอันใด ถ้าหากวันข้างหน้า จะต้องนอนทับ อยู่บนกองเงินกองทอง อย่างเดียวดาย

ในปี 2050 จะมีหนุ่มๆเวียดนามราว 2.3 ล้านคนไร้คู่ เพราะไม่สามารถจะหาเจ้าสาวเข้าวิวาห์ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ปัญหา ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกันครั้งเดียว ในอนาคตราว 32 ปีข้างหน้า แต่เป็นปัญหาในวันนี้ และ ยังสะสมมานานนับสิบปีแล้ว ซึ่งจะทำให้เด็กๆเพศชาย ที่กำลังเติบโต หรือ ทารกเพศชาย ที่ลืมตาดูโลกในวันนี้ เผชิญปัญหา ที่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่าง ประชากรสองเพศ

ฟังดูคล้ายกับว่า การไม่มีคู่ครอง ก็เป็นเพียงปัญหาส่วนตัว เรื่องใครของมัน ฉันไหม่เกี่ยว แต่นักสังคมวิทยาชี้ว่า นี่คือ ปัญหาของทั้งสังคม และ เป็นระเบิดเวลาของชาติ ที่มีความรุนแรงอย่างน่ากลัวทีเดียว

ตามรายงานสิ้นปี 2560 ของสำนักประชากรและการวางแผนครอบครัวเวียดนามนั้น ปัญหาความไม่สมดุลระหว่างประชากรสองเพศ เริ่มเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ปี 2548-2549 และ จากนั้นมา ช่วงห่างก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่พบหนทางแก้ไข -- นั่นคือ 12-13 ปีก่อน อัตราทารกแรกเกิด เพศชายกับเพศหญิงออกมาเป็น 109 ต่อ 100 คน -- แต่พอปี 2556 หรือ ต่อมาเพียงไม่ถึง 10 ปี ช่วงห่างขยายเป็น 113.8 ต่อ 100 และ คาดว่าปีใหม่ 2561 นี้ ความเหลื่อม จะอยู่ระหว่าง 112-113 ต่อ 100

รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าหมายให้แต่ละครอบครัวมีลูกได้ 2 คน แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราเฉลี่ยเป็น 2.1 คน อัตราเหลื่อมล้ำ ระหว่างทารกสองเพศ ไม่ได้ลดลง เมื่อเด็กๆ เหล่านี้เติบโตเป็นหนุ่มสาววัยเจริญพันธุ์ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็จะเริ่มเจอปัญหาไร้คู่ ถ้าหากสถานการณ์ทั้งสองด้าน ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อีก 30 ปีตัวเลขหนุ่ม "หนุ่มทึนทึก" ไร้คู่ครอง ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2 ล้าน

รายงานชิ้่นเดียวกันระบุว่า ความเหลื่อมล้ำ ระหว่างทารกสองเพศ พบมากที่สุดในจังหวัด เขตที่ทราบลุ่มแม่น้ำแดง 70-100 กิโลเมตร รอบๆ กรุงฮานอย -- ได้แก่ จ.หายซเวือง นครหายฝ่อง จ.บักนีง บั๊กซยาง นามดิ่ง และ จ.ถายบี่ง โดยสถิติพบว่า มีอัตราสูง 115-122 ต่อ 100 คาดว่าอีก 25 ปีข้างหน้า ย่านนี้ จะขาดประชากรหญิงวัยเจริญพันธุ์ สะสม 2.3-4.3 ล้านคน ซึ่งหมายความชายหนุ่มวัยเจริญพันธุ์ จำนวนเท่าๆ กันจะไม่ได้แต่งงาน

นี่ยังไม่ได้นับรวม "การขาดดุล" เนื่องจาก ยังมีหญิงสาวชาวเวียดนาม อีกจำนวนมาก ที่เมินหนุ่มชาติเดียวกัน ไปแต่งงานกับชาวต่างประเทศ -- สถิติชี้ว่า แค่เกาหลีเพียงประเทศเดียว จนถึงปัจจุบันมีหนุ่มๆ พลังโสม แย่งสาวไปจากหนุ่มเวียดนามกว่า 70,000 คน

ตามนโยบายด้านประชากร ของพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลนั้น ในปี 2030 หรือ พ.ศ.2573 หรือ อีก 12 ปีข้างหน้า จะต้องควบคุมความไม่สมดุลระหว่างทารกสองเพศ ให้อยู่ระดับ 109 ต่อ 100 -- คือ เท่าๆ กับเมื่อ 2548-2549 จึงจะบรรเทาปัญหา ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทั้งปัญหาทางจิตวิทยาสังคม และ ปัญหาอาชญากรรมต่างๆ

นโยบายเดียวกันนี้ ยังตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนสูงเฉลี่ย ของประชากรอายุ 18 ปี ให้เป็น 168.5 ซม. สำหรับเพศชาย และ 157.5 ซม.สำหรับเพศหญิง และ ให้ประชากร ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ให้มีอายุเฉลี่ยสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 75 ปี และ ต่ำสุด 68 ปี ซึ่งในปัจจุบันอายุเฉลี่ยของชาวเวียดนาม ทั้งสองเพศ สูงสุด 73.4 ปี และ ต่ำสุด 64 ปี และ ต้องควบคุมอัตราการเพิ่มของประชากรให้ได้ ตามเป้าหมาย

การสำรวจสัมมะโนประชากร ได้พบว่า อายุเฉลี่ยประชากรได้เพิ่มขึ้นเป็น สูงสุด 73.4 ปั ตั้งแต่ปี 2556 ที่ผ่านมา อันเป็นผลพวงจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้น เด็กๆ พ้นสภาพขาดอาหาร และ อัตราการเสียชีวิตของมารดา ขณะคลอดทารก ต่ำลงเรื่อยๆ

นอกจากนั้นก็ยังพบว่า อัตราเกิดเฉลี่ยของทารก ได้ลดต่ำลงกว่าเป้าหมาย ในบางภูมิภาคของประเทศ เช่น ใน 5 จังหวัดแถบตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า มีอัตราเฉลี่ยเพียง 1.56% เทียบกับปีก่อน และ ในเขต 12 จังหวัดที่ราบปากแม่น้ำโขง ลดลงเป็น 1.8% ซึ่งการศึกษาในหลายประเทศ ที่มีปัญหานี้มาก่อน ได้พบว่า เมื่ออัตราการเกิดต่่ำลง ก็จะไม่สูงขึ้นอีก -- นั่นคือ ช่วยให้อัตราเพิ่มของประชากรโดยรวม ต่ำลงนั่นเอง

ตามสถิติอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันเวียดนามมีประชากร 92.7 ล้านคน มากเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มอาเซียน ถัดจากอินโดนีเซีย (261.3 ล้าน) กับ ฟิลิปปนส์ (103.3 ล้าน) โดยมีไทยเป็นอันดับ 4 จำนวน 68.86 ล้านคน -- พรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาล ตั้งเป้าหมายจำนวนประชากร เพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 104 ล้านคน ในปี 2573.


กำลังโหลดความคิดเห็น