เอเอฟพี - ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และนางอองซานซูจี ต่างยกย่องความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสองชาติ ในขณะที่ผู้นำพม่าตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับวิกฤติผู้ลี้ภัยโรฮิงญา
ทั้งซูจีและผู้นำจีนต่างไม่ได้กล่าวถึงชะตากรรมของชนกลุ่มน้อยมุสลิมของพม่า ขณะที่ทั้งคู่พบหารือกันในกรุงปักกิ่งเมื่อวันศุกร์ (1)
“พรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีนจะยังดำเนินนโยบายมิตรภาพต่อพม่าเช่นเดิมต่อไป” ผู้นำจีนกล่าวกับซูจี ตามการรายงานของสำนักข่าวซินหวา
ซูจีที่เข้าบริหารประเทศในปี 2558 หลังพม่าอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหารกว่า 50 ปี ได้กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมพรรคการเมืองโลกที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดขึ้น
“จีนและพม่ามุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น” ซูจี กล่าว และว่าเป้าหมายการก่อตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน --“ความสุขของประชาชนชาวจีนและการฟื้นฟูชาติ” -- และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของเธอนั้นไม่แตกต่างกัน
ซูจีได้รับความชื่นชมจากชุมชนสิทธิมนุษยชน แต่หลังจากล้มเหลวที่จะปกป้องชาวโรฮิงญาในพม่าซูจีก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
สหประชาชาติและสหรัฐฯ ระบุว่าโรฮิงญาเป็นเหยื่อของการกวาดล้างชาติพันธุ์ของกองทัพพม่า ปฏิบัติการที่ทำให้ชาวโรฮิงญากว่า 620,000 คน ต้องอพยพหลบหนีไปบังกลาเทศตั้งแต่ปลายเดือนส.ค.
ผู้ลี้ภัยโรฮิงญาได้เล่าถึงเหตุการณ์การทารุณและละเมิดสิทธิต่างๆ ทั้งการข่มขืน การสังหาร และการวางเพลิง โดยทหารและกลุ่มม็อบชาวพุทธ แต่กองทัพพม่ายืนยันว่าการปราบปรามดำเนินไปอย่างเหมาะสมและมีเป้าหมายเพียงแค่กลุ่มกบฎโรฮิงญาเท่านั้น
“แม้พม่ายังไม่อยู่ในกลุ่มประเทศร่ำรวยและทรงอิทธิพลของโลก แต่เรามีความมุ่งมั่น จุดมุ่งหมายของเราคือการเป็นสมาชิกที่รับผิดชอบของประชาคมโลก เราต้องการสร้างสันติภาพและมิตรภาพทั่วโลก” ซูจี กล่าว
พม่าได้รับการสนับสนุนจากจีนมาโดยตลอด และจีนได้ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการท่าเรือ และโครงการท่อน้ำมันและก๊าซในรัฐยะไข่
ประธานาธิบดีสีได้พบกับพล.อ.อาวุโส มิน ออง หล่าย ผู้บัญชาการกองทัพพม่าในกรุงปักกิ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปักกิ่งยังได้เสนอข้อเสนอของตัวเองที่จะจัดการกับวิกฤติโรฮิงญาด้วยการหยุดยิง การส่งกลับผู้ลี้ภัย และการบรรเทาความยากจน ขณะเดียวกันบังกลาเทศและพม่าได้บรรลุข้อตกลงที่จะเริ่มส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศในอีก 2 เดือน.