xs
xsm
sm
md
lg

เปิดปูมลับ เปิดชีวิตลับๆ สายลับ KGB ที่ชื่อ "วลาดิมีร์ ปูติน"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

<br><FONT color=#00003>หนุ่มวลาดิมีร์ ปูติน ในคราบจารบุรุษเต็มตัวกับชีวิตอันตราย 5 ปี ในนครเดรสเดน (Dresden) สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี หรือ เยอรมันตะวันออก เมื่อก่อน แม้จะปฏิบัติงานในดินแดนสังคมนิยมด้วยกัน แต่ก็ไม่มีใครเป็นมิตรใคร เพราะ เราก็สืบ เขาก็สืบ แถมยังมีเพื่อนบ้านเป็นพวกสตาสซี่ (Stasi) ตำรวจลับเจ้าบ้าน คอยสอดแนมอีกชั้นหนึ่งด้วย เรื่องนี้ไม่เคยเปิดเผยกันมาก่อน. -- ภาพจาก กาเซ็ตต้าอาร์ยู.</b>

MGRออนไลน์ -- โลกรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของประธานาธิบดีรัสเซียคนปัจจุบันเป็นอย่างดี นิตยสารชั้นนำของนานาประเทศ รวมทั้งในสหรัฐยกย่องให้เป็นผู้ที่ทรงอำนาจอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่ง ติดต่อกันมาหลายปี ชาวรัสเซียจำนวนมากยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ เป็นผู้กอบกู้ฐานะของประเทศ ที่เคยยิ่งใหญ่ เคยเป็นหนึ่งในสองอภิมหาอำนาจของโลก ให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง และ เศรษฐกิจของประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังฟันฝ่ามาจนผ่านพ้นระยะถดถอย ในท่ามกลางการคว่ำบาตร และ การกดดันสารพัดจากโลกตะวันตก

แต่เรายังรู้จักคนที่ชื่อ วลาดีมีร์ ปูติน น้อยมาก คนส่วนใหญ่รู้กันคร่าวๆ มองเห็นเพียงเลาๆ เกี่ยวกับอดีตของเขา ซึ่งเจ้าตัวเองไม่ค่อยจะเปิดเผย ไม่อยากเปิดเผย ด้วยหลากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลา 5 ปี ที่ไปปฏิบัติงานการข่าวกรอง ประจำสำนักงานองค์การสืบราชการลับของสหภาพโซเวียต ในนครเดรสเดน (Dresden) เยอรมนีตะวันออก ในครั้งโน้นด้วย

ระหว่างให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ โอลิเวอร์ สโตน ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังชาวอเมริกัน ในเทปที่เผยแพร่เดือนที่แล้ว ผู้นำรัสเซียไม่ได้พูดอะไรมากมาย เกี่ยวกับช่วงปีที่เคยเป็นสายลับ ขององค์การสืบราชการลับชื่อกระฉ่อนโลก -- Komitet Gosudarstvennoy Bezopasnosti

เมื่อไม่กี่วันมานี้ นิตยสารกาเซ็ตตาอาร์ยูภาษารัสเซียได้ตีพิมพ์เผยแพร่ เรื่องราวในช่วงตอนหนึ่งของชีวิตประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน อย่างน่าสนใจ นั่นคือช่วงปีที่บัณฑิตหนุ่ม จากนครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ไปเป็นสายลับในเยอรมนีตะวันออก ภายใต้องค์การสืบราชการลับ ที่มีเครือข่ายโยงใย ควบคุมทุกหย่อมหญ้า เหนืออาณาจักรสหภาพโซเวียต

ปูตินบอกว่า ในชวงปีโน้นน้ำหนักเพิ่ม 12 กิโลกรัม เพราะดื่มเบียร์เป็นอยู่เป็นนิจ นั่นคือ ระหว่างปี 2528-2532 ปีที่กำแพงเบอร์ลินถูกพังทะลายลง และโซเวียตล่มสลายในอีก 2 ปีถัดมา -- ไม่ง่ายนักที่จะได้ยินเรื่องราวแบบนี้ จากปากผู้นำสำคัญคนหนึ่งของโลก โดยไม่ต้องพูดถึงช่วงตอนหนึ่งของชีวิต ที่แฝงไว้ด้วยภัยอันตรายจากรอบทิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภัยจากศัตรูที่ไม่เห็นตัว ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาทั้งหลาย

ข้อมูลเกี่ยวกับประธานาธิบดีปูติน ในช่วงที่ปฏิบัติการเป็นสายลับ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีเมื่อก่อน ถูกปิดเป็นความลับตลอดมา จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้

ปีที่เข้าไปปฏิบัติการในนครเดรสเดนนั้น ปูตินอายุเพียง 33 ปี แต่งงานแล้ว กับนางลู้ดมิลา (Lyudmila) ภริยาที่เพิ่งหย่าขาดกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ตอนนั้นก็มีลูกสาวคนแรก อีกคนเกิดในเดรสเดนเมื่อปี 2529 (ระหว่างให้สัมภาษณ์โอลิเวอร์ สโตน ผู้นำรัสเซียกล่าวถึงชีวิตส่วนตัวอย่างเศร้าๆ ว่า เสียใจอยู่ตลอดเวลา ที่ไม่มีโอกาส ได้ใกล้ชิดกับหลาน (ตา) เลย - ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 2 คน หญิงหนึ่งกับชายอีกหนึ่ง - และ คิดถึงลูกสาวกับหลานๆ อยู่เสมอๆ)
.
<br><FONT color=#00003>ปธน.ปูติน กับนางลู้ดมิลา (Lyudmila) ภริยา ปรากฏตัวต่อสาธารณชนร่วมกัน ครั้งที่ประกาศการแยกทาง โดยสื่อกล่าวว่า เป็นหย่าที่มีอารยะที่สุด - ผู้นำรัสเซียกล่าวว่า ชีวิตส่วนตัวที่เหลืออยู่ ขอมอบให้แก่ประเทศชาติ และ ในการให้สัมภาษณ์โอลิเวอร์ สโตน เมื่อไม่นานมานี้ ปธน.รัสเซีย ได้เปิดเผยชีวิตส่วนตัวว่า คิดถึงลูกสาวทั้งสองคน กับคิดถึงหลานตาทั้งสองอยู่เสมอๆ. </b>
2
หลังสำเร็จการฝึกอบรม จากสถาบันการข่าวกรองระหว่างประเทศ (Academy of Foreign Intelligenc) ในกรุงมอสโก หนุ่มปูตินซึ่งพูดภาษาเยอรมันได้แตกฉาน มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง -- รอไปปฏิบัติงานในเยอรมนีตะวันตก ในฐานะนักการทูต หรือ ไปเยอรมนีตะวันออก ในฐานะจารชน เขาตัดสินใจเลือกอันหลัง เนื่องจากไปเยอรมนีตะวันตก ซึ่งเป็นฝ่ายโลกเสรี จะต้องรออีกหลายปี

ในหนังสือ First Person ผู้เขียนได้อ้างข้อมูลการสัมภาษณ์นายปูติน ที่บอกเล่าในตอนหนึ่งว่า งานในเยอรมนีตะวันออกนั้น ถึงแม้จะเป็นดินแดนของฝ่ายสังคมนิยม แต่ก็แฝงด้วยอันตรายไม่น้อย เพราะ "เราก็สืบ เขาก็สืบ" ซึ่งหมายถึงสายลับของฝ่ายตะวันตกกับนาโต้ ที่มีมากกว่าฝ่ายโซเวียตเสียอีก ทุกฝ่ายต่างแสวงหาข้อมูลลับทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับขีดความสามารถ ในการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของอีกฝ่ายหนึ่ง ในยุคที่สงครามเย็นกำลังร้อนระอุที่สุด

สปายของเคจีบีมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลข่าวสาร ในทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือของยุโรปตะวันตก แม้กระทั่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในค่ายหลังม่านเหล็กด้วยกัน แล้วรายงานกลับไปยังสำนักงานใหญ่ในมอสโก

ปธน.ปูตินพูดเกี่ยวกับความหลัง รวมทั้งประวัติส่วนตัวน้อยมาก ส่วนใหญ๋จะเป็นเรื่องที่ผู้อื่นพูดถึงมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ "รัสเซีย 24" (Rossiya24) ของทางการรัสเซีย เมื่อไม่นานมานี้ผู้นำได้เปิดเผยอีกนิดหนึ่งว่า ตอนอยู่เยอรมนีตะวันออกนั้น ต้องเพาะ "แหล่งข่าว" เอาไว้มากมาย ต้อง "ต่อสาย" ให้ติด ต้องดูแลปกป้อง รวมทั้งป้องกันมิให้กลายเป็นพวก "ดับเบิ้ลสปาย" คือ หันมาล้วงความลับจากเราเองในขณะเดียวกัน

การช่วยเหลือเพื่อให้แหล่งข่าว สามารถเข้าถึงต้นตอของข่าวสารนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย หากแฝงด้วยอันตรายทุกย่างก้าว ผู้นำรัสเซียกล่าวว่า ตนเองไม่เคยลืม "เพื่อนเก่า" เหล่านั้น ทั้งในเยอรมนีและในรัสเซีย และ เมื่อไม่นานมานี้ ก็ได้ไปเยี่ยมคารวะเจ้านายเก่า ผู้เคยเป็นหัวหน้าสายงานโดยตรง ที่เคจีบีเมื่อก่อน คือ นายลาซาร์ มอยซีเอฟ (Lazar Moizeev) ในงานวันเกิด 90 ปี
.

<br><FONT color=#00003>ผู้นำรัสเซียทำงานเป็นสายลับ ขององค์การสืบราชการลับเคจีบี รวม 16 ปีเต็ม ตั้งแต่ 2518 -- ปีที่สงครามเวียดนามยุติลง จนถึงขวบปี ที่อาณาจักรใหญ่คอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตล่มสลาย 2534 จากนั้นได้เข้าสู่การเมืองเต็มตัว จากบ้านเกิด.. เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก สู่กรุงมอสโก และ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด.  -- ภาพจาก กาเซ็ตต้าอาร์ยู.</b>
3
ผู้นำรัสเซียยังแถมติดตลกอีกว่า ที่ลืมไม่ลงจริงๆ คือ เบียร์เยอรมัน เพราะทำให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ ตลอดเวลา 5 ปี ที่ทำงานอยู่ที่นั่น เบียร์ช่วยได้ดีที่สุด ช่วยบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย หลังกรำงานในแต่ละวัน แต่หลังกลับไปรัสเซีย ทุกอย่างก็กลับไปเหมือนเดิมคือ น้ำหนักส่วนเกินหายไป อาจเป็นเพราะว่า เบียร์รัสเซียในช่วงทศวรรษที่ 1990 นั้น รสชาติยังไม่เป็นเรื่อง

นอกจากนั้นก็ไม่เคยลืม เกี่ยวกับอุปนิสัยการรักสวยรักงาม การรักษาความสะอวด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชาวเยอรมัน ซึ่งกลายเป็นความประทับใจ ติดอยู่ในความทรงจำ

ผู้นำรัสเซียยังกล่าวถึงอดีตภริยา -- ช่วงปีโน้นเธอทำงานหนักมาก เพราะครอบครัวต้องรับแขกอยู่บ่อยๆ ทั้งเพื่อนร่วมงาน เพื่อนๆ ชาวเยอรมัน รวมทั้งพวก "สตาสซี่" (Stasi) หรือ ตำรวจลับของทางการเยอรมนีตะวันออกในยุคนั้นด้วย พวกนี้มีอำนาจล้นพ้น ไม่เข้าใครออกใคร แม้แต่ชาวโซเวียต กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐ จากกลุ่มรัฐบริวารพันธมิตรด้วยกันเอง -- แถมยังมีสตาสซี่ครอบครัวหนึ่งเป็นเพื่อนบ้านอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ช่วงปีดังกล่าวไม่มีอะไรที่หรูหรา แต่เป็นเวลาที่ชีวิตครอบครัวมีความสุข ทั้งคู่เก็บออมได้จำนวนหนึ่ง จนกระทั่งซื้อรถยนต์ได้คันหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเป็นสิ่งที่มีราคาแพงมากสำหรับโลกสังคมนิยม

นางลู้ดมิลา ภรรยาเคยให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งในเวลาต่อมา โดยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า พวกสตาสซี่ในเยอรมนีตะวันออก มีรายได้ดี และมีชีวิตที่ดีกว่า ใครๆ จากชาติพันธมิตรด้วยกัน

ชีวิตเริ่มผกผันในปี 2532 ซึ่งกำแพงเบอร์ลิน ที่เคยกั้นกรุงเบอร์ลินตะวันตก กับ กรุงเบอร์ลินตะวันออก พังทะลายลง และ สองเยอรมนีเริ่มเข้าสู่กระบวนการรวมประเทศ
.

<br><FONT color=#00003>บ้านซึ่งแท้จริงเป็นรังใหญ่ของเคจีบี ศูนย์กลางการล้วงตับฝ่ายนาโต้ ในนครเดรสเดน ช่วงปีโน้น เดือน ธ.ค.2532 เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินออกจากบ้าน ไปยังประตูรั้วที่ปิดอยู่ พูดกับฝูงชนเป็นภาษาเยอรมันชัดถ้อยชัดคำว่า ที่นั่นเป็นทรัพย์สินของสหภาพโซเวียต มี รปภ.ติดอาวุธ พร้อมจะยิงทันทีที่มีผู้บุกรุก.. ไม่มีใครคิดว่าหลายปีต่อมา เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้น จะกลายมาเป็นผู้นำที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในโลก. -- ภาพจาก กาเซ็ตต้าอาร์ยู.</b>
4
วันที่ 5 ธ.ค.ปีนั้น สายลับปูติน ได้เห็นฝูงชนกรูกันเข้าห้อมล้อม กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ ในนครเดรสเดน ที่อยู่ถัดไปไม่ไกลจากรังใหญ่ของเคจีบี เป็นการส่งสัญญาณว่า ไม่ช้าไม่นานสำนักงานข่าวกรองโซเวียต ก็จะถูกฝูงชนบุกเข้ายึดครองอีกแห่ง แต่เมื่อโทรศัพท์ไปขอคำแนะนำ จากสำนักงานใหญ่ในกรุงมอสโก ก็ไม่มีผู้ใดรับสาย เพราะฉะนั้นจะต้องดำเนินการทุกอย่างภายใต้อำนาจของตัวเอง

ชาวเยอรมันที่ชื่อ ซิกฟริด ดานนัต (Siegfrid Dannat) ซึ่งอยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้น เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งของเขาว่า มีเจ้าหน้าที่รัสเซียคนหนึ่ง เดินออกจากสำนักงาน ไปยังประตูรั้วที่ปิดอยู่ แล้วบอกฝูงว่า -- ทุกคนควรออกไปห่างๆ จากอาคารหลังนี้ เพราะเป็นทรัพย์สินของสหภาพโซเวียต และ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธ พร้อมจะยิงทันทีที่มีผู้บุกรุก

นายดานนัตเขียนต่อไปว่า เจ้าหน้าที่ผู้นั้่นพูดภาษาเยอรมันชัดถ้อยชัดคำ และ พูดจาอย่างสุภาพเรียบร้อย น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่จริงจัง ทำให้ฝูงชนค่อยๆ สงบลง และ สลายกันไป จากรังใหญ่ของเคจีบี -- คงไม่มีผู้ใดคิดว่า อีกหลายปีต่อมาเจ้าหน้าที่คนนี้ จะกลายมาเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในรัสเซีย

แต่สายลับหนุ่มใหญ่ ไม่มีเวลาชื่นชมความสำเร็จ จากการหันเหความสนใจของฝูงชนได้นานนัก เพราะจะต้องรีบเก็บข้าวของกลับบ้าน วัตถุสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานของเคจีบี ถูกส่งกลับมอสโกล่วงหน้า จากนั้นก็จัดการเผาทุกอย่างที่เหลืออยู่ให้หมด

"เราเผากันทั้งวันทั้งคืน.. เราเผาเอกสารจนเตาพัง" ปธน.รัสเซียเปิดเผย ระหว่างให้สัมถาษณ์ Rossiya 24 -- หลังจากนั้นก็พาครอบครัวกลับประเทศ ภารกิจที่นั่นเสร็จสิ้นแล้ว รวมทั้งการสิ้นสุดภาระหน้าที่ ของสายลับในต่างแดนด้วย
.

<br><FONT color=#00003>ในรายการ คุยกันจริงๆจังๆ กับเยาวชนจำนวนหนึ่ง ผ่านรายการโทรทัศน์ สัปดาห์ปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ปธน.รัสเซีย ตอบคำถามหลากหลายเรื่อง รวมทั้งคำถามหนึ่งที่ว่า  สิ่งใดหรือเหตุการณ์ ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของท่านมากที่สุด? .. คำตอบคือ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต. </b>
5
ปูตินยังคงทำหน้าที่สายลับต่อมาจนถึงปี 2534 รวม 16 ปีเต็ม จนกระทั่งสหภาพโซเวียตแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สภาพทางการเมืองปั่นป่วนที่สุด เศรษฐกิจสังคมนิยมล่มสลาย ประชาชนหลายสิบล้านคนอดอยาก -- สาธารณรัฐต่างๆ ในวงศ์วานว่านเครือ แตกตัวออกไปก่อเกิดใหม่ ในนั้นหลายแห่งเข้าสู่สงครามกลางเมือง

ระหว่างพูดคุยตอบคำถามกับเด็กๆ ทางโทรทัศน์เมื่อปลายเดือนที่แล้ว เด็กหญิงคนหนึ่งถามผู้นำว่า "สิ่งใดหรือเหตุการณ์ ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของท่านมากที่สุด?" ปธน.รัสเซีย นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนให้คำตอบว่า "หนูถามคำถามของผู้ใหญ่.. ชีวิตผ่านมามากมาย แต่ถ้าหากจะมีสักอย่าง ก็น่าจะเป็นการล่มสลายของสหภาพโซเวียต"

....

ชื่อจริงคือ วาลาดิมีร์ วลาดิมีโรวิช ปูติน (Vladimir Vladimirovich Putin) เกิดวันที่ 7 ต.ค. 2495 เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งล่าสุด 7 พ.ค.2555 เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ระหว่างปี 2542-2543 เป็นประธานาธิบดีครั้งแรกระหว่างปี 2543-2551 (ควบ 2 สมัย) จากนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ระหว่างปี 2551-2555

เกิดในนครเลนินกราด (Leningrad/เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก) เข้าศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ( Saint Petersburg State University) เรียนสำเร็จปี 2518 ปีที่สงครามเวียดนามยุติลง การทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองถึง 16 ปี ทำให้ปีนป่ายขึ้นมาถึง ยศชั้นนายพันโท และ เริ่มเข้าสู่การเมืองหลังออกจากงานเดิม และ เข้าสู่การเมืองเต็มตัวในบ้านเกิด

ครอบครัววลาดิมีร์ ปูติน อพยพไปมอสโกเมื่อปี 2539 เข้าทำงานในรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีบอริส เยลซิน ( Boris Yeltsin) เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และ ทำหน้าที่ รักษาการประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2542 หลังจากเยลต์ซินลาออก

ปูตินชนะการเลือกตั้ง ที่ติดตามมาในปี 2543 ด้วยคะแนน 53% ต่อ 30% เหนือ นายเกนนาดี ซูกานอฟ (Gennady Zyuganov) ที่พยายามนำพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง ต่อมาในการเลือกตั้งปี 2547 พรรครัฐบาล ก็เอาชนะพรรคคอมมิวนิสต์อย่างท่วมท้น ด้วยคะแนนโหวตคิดเป็น 72%.
กำลังโหลดความคิดเห็น