MGRออนไลน์ -- เรือลาดตระเวนติดอาวุธปล่อยนำวิถีวาร์ยัก (Varyag) เข้าจอดเทียบท่าในอ่าวกามแรง ภาคกลางเวียดนาม วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา พร้อมเรือบรรทุกเชื้อเพลิง 1 ลำ กับเรือลากจูง/กู้ภัยอีก 1 ลำ เริ่มการเยือนสันถวไมตรีเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งระหว่างนี้ลูกเรือกว่า 600 คน จะได้ขึ้นฝั่ง ทำกิจกรรมหลายอย่างร่วมกับฝ่ายเจ้าภาพ
วาร์ยักเป็นลำที่ 3 ของเรือชั้นสลาวา (Slava-class) ขนาด 11,490 ตันที่ต่อออกมาทั้งหมด 3 ลำ ความยาวตลอดลำกว่า 186 เมตร ซึ่งต้องใช้นายทหารกับลูกเรือ 485 คน ในการินยวการปฏิบัติการ ใหญ่กว่าเรือลาดตระเวนชั้นไทคอนเดโรกา (Ticonderoga-class) ของกองทัพเรือสหรัฐ ที่มีขนาด 9,600 ตัน และ ยาว 173 เมตร
นับเป็นการเยือนปรกติอีกครั้งหนึ่ง ของเรือรบจากกองทัพเรือแฟซิกรัสเซีย ที่เมืองวลาดิวอสต็อก ทางภาคตะวันออกไกล การเยือนดังกล่าวมีประจำ ในความพยายามรักษาเสถียรภาพกับความปลอดภัยทางทะเล ตามข้อตกลงระหว่างสองประเทศ ที่เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ ในระหว่างนี้ลูกเรือจากเรือวาร์ยัก กับเรืออีก 2 ลำในฝูง จะเข้าร่วมการฝึกซ้อมกับทหารเรือเวียดนาม ในหลายเนื้อหา
บ่ายวันพฤหัสบดี น.ท.อเล็กซี ยูเรวิช อุลยาเนนโก (Alexey Yurevich Ulyanenko) ผู้บังคับการเรือวาร์ยัก ได้นำคณะนายทหารจำนวนหนึ่ง ไปเยี่ยมคารวะอนุสรณ์สถานทหารและเจ้าหน้าที่โซเวียต/รัสเซีย ที่พลีชีพในช่วงสงคราม ในการช่วยเหลือเวียดนาม พิทักษ์รักษาสันติภาพและเสถียรภาพ มีรายงานเรื่องนี้ในเว็บไซต์เดิ๊ตเหวียดออนไลน์
ระหว่างการเยือน 5 วัน ทหารเรือรัสเซียจำนวนมาก จะขึ้นบกไปร่วมการแข่งขันกีฬาหลายประเภทกับฝ่ายเจ้าภาพ ซึ่งเป็นหน่วยทหารเรือประจำฐานทัพอ่าวกามแรงแห่งนี้ รวมทั้งเปิดแสดงการละเล่นทางศิลปะวัฒนธรรมของรัสเซีย ให้ประชาชทั่วไปได้ชมอีกด้วย สำนักข่าวแห่งเดียวกันรายงาน
เรือวาร์ยักมีประวัติความเป็นมายาวนาน และ มีบทบาทสำคัญมากที่สุดลำหนึ่งในด้าน "การทูตการทหาร" หรือ Military Diplomacy รวมทั้งการไปเยือนนครซานฟรานซิสโก สหรัฐ เมื่อเดือน มิ.ย.2553 ซึ่งได้กลายเป็นเรือรบโซเวียต/รัสเซีย ลำแรก ที่มีโอกาสได้ไปเยือนสหรัฐในรอบ 147 ปี
ปลายปี 2558 เรือวาร์ยักแล่นจากฐานทัพวลาดิวอสต็อกข้ามแปซิฟิกตะวันตก เข้ามหาสมุทรอินเดีย และ ในเดือน ม.ค.2559 ก็แล่นเข้าคลองสุเอซ ข้ามไปประจำการที่ฐานทัพเรือตาร์ตุส (Tartus) ประเทศซีเรีย แทนที่เรือมอสควา (Moskva/มอสโก) เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของรัสเซียในซีเรีย และ ได้กลายเป็นเรือธงประจำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ในช่วงนั้น ก่อนจะถูกถอนกลับไปยังฐานทัพแปซิฟิก
เดิมชื่อเรือชเรโวนายูเครน (Chervona Ukraine/ยูเครนแดง) ทำพิธีปล่อยลงน้ำเดือน ก.ค.2525 ใช้เวลาต่อถึง 7 ปีจึงแล้วเสร็จ และทำพิธีบรรจุเข้าประจำการกองทัพเรือ ในเดือน ต.ค.2532 ก่อนจะถูกส่งไปประจำกองเรือแปซิฟิกในปี 2533 ซึ่งเป็นปีที่สหภาพโซเวียต กำลังประสบปัญหาภายในอย่างรุนแรง ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ จนกระทั่งล่มสลายลงในปีต่อมา
เรือ "ยูเครนแดง" เปลี่ยนชื่อเป็นชื่อปัจจุบันในปี 2539 และ กลายเป็นเรือธงของกองทัพเรือภาคตะวันออกไกลมาตั้งแต่นั้น
.
2
3
อย่างไรก็ตามปัญหาเศรษฐกิจหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้ทำให้เรือวาร์ยักจอดนิ่ง ไม่มีการใช้งาน โดยมีบันทึกเอาไว้ว่า ในช่วงปีแห่งความยุ่งยาก บนเรือลำมหึมานี้ มีการจัดพลประจำการ ทำหน้าที่ดูแลเพียง 1 คนเท่านั้น เรือลาดตระเวนขนาดใหญ่ ถูกทอดทิ้งต่อมาจนถึงปี 2545 จึงได้รับการฟื้นฟู และ ถูกนำกลับมาใช้งานอีกครั้งหนึ่งในปี 2551
ตามข้อมูลของฝ่ายรัสเซีย เรือวาร์ยักทำความเร็วสูงสุดได้ 59 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีรัศมีปฏิบัติการ 13,200 กม.ต่อการเติมเชื้อเพลิง 1 ครั่ง ติดระบบอาวุธปล่อยนำวิถียิงเรือแบบ พี-500 "บาซอลต์" (P-500 Bazalt หรือ SS-N-12) จำนวน 16 ระบบ ซึ่งเป็นจรวดยิงเรือขนาดใหญ่ ความเร็วเหนือเสียง ติดหัวรบได้หลายขนาดจนขนาด 1,000 กก. ที่ให้ความรุนแรงในการระเบิดถึง 300 กิโลตัน และ ติดระบบจรวดต่อสู้อากาศยานระยะไกลนำวิถี S-300F (SA-N-6) จำนวน 64 ระบบ จรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยาน OSA-MA (SA-N-4) อีก 40 ระบบ กับปืนยิงเร็วระยะประชิด ปืนใหญ่เรือ ระบบต่อสู้เรือดำน้ำ RBU-6000 และ ตอร์ปิโดขนาด 533 มม. จำนวน 10 ท่อยิง
ท้ายเรือมีลานจอดสำหรับเฮลิคอปเตอร์คาร์มอฟ (Karmov) Ka-25 หรือ Ka-27 จำนวน 1 ลำ
ในยุครุ่งเรืองสุดขีด กองทัพเรือโซเวียตมีแผนการต่อเรือชั้นสลาวาออกมาทั้งหมด 10 ลำ แต่ทำออกมาได้เพียง 3 ลำเท่านั้น ล้มเลิกไป 6 อีก 1 ลำ วางกระดูกงูเสร็จ และไม่ได้ดำเนินการต่อ
เรือลำแรกของชั้นคือ เรือสลาวา บรรจุเข้าประจำการกองทัพเรือทะเลดำ เมื่อปี 2525 และ เปลี่ยนขื่อใหม่เป็นเรือมอสควา (Moskva/มอสโก) เมื่อปี 2538 เป็นลำเดียวกับที่ถูกส่งไปประจำการ ฐานทัพตาร์ตุส เมื่อปี 2556 ขณะมีสงครามกลางเมือง
ลำที่สองของชั้นคือ เรือแอดมิรัลโฟลตาโลบอฟ (Admiral Flota Lobov/จอมพลเรือโลบอฟ) บรรจุเข้าประจำการกองทัพเรือภาคเหนือ (ทะเลบัลติก) ปี 2529 ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น เรือจอมพลอุสตินอฟ ( Marshal Ustinov) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่เดือน ต.ค.ปีแล้ว
เวียดนามได้เปิดส่วนหนึ่งของอ่าวกามแรง (Can Ranh/คัมราน) ให้เป็นท่าเรือนานาขาติ ให้เรือของทุกประเทศ ทั้งเรือพาณิชย์และเรือรบ เข้าไปใช้บริการได้ เรือรบของญี่ปุ่น สหรัฐ ฝรั่งเศส จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมทั้งเรือราชนาวีไทย ได้แวะไปเยือนที่นั่นมาหลายครั้ง รวมทั้งไปใช้บริการส่งกำลังบำรุง หรือ กระทั่งรับการซ่อมแซม.