รอยเตอร์/เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโส 3 นาย ถูกตัดสินจำคุกจากความละเลยปล่อยให้ผู้ก่อความไม่สงบชาวโรฮิงญาเข้าโจมตีด่านชายแดนตำรวจในเดือน ต.ค. เจ้าหน้าที่รัฐของพม่าระบุวานนี้ (24)
ชายชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนจากชนกลุ่มน้อยมุสลิม ที่ชาวพม่าจำนวนมากระบุว่า คนเหล่านี้เป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ ได้เข้าโจมตีด่านชายแดนตำรวจเมื่อวันที่ 9 ต.ค. โดยส่วนใหญ่ใช้อาวุธแค่เพียงท่อนไม้
การโจมตีนำมาซึ่งการปราบปรามของทางการต่อชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ จนทำให้ชาวโรฮิงญามากกว่า 70,000 คน ต้องอพยพหลบหนีข้ามพรมแดนเข้าไปในฝั่งบังกลาเทศ
เย นาย เจ้าหน้าที่จากกระทรวงข้อมูลข่าวสารกล่าวต่อรอยเตอร์ว่า การสืบสวนอย่างเป็นทางการเป็นการสอบสวนว่าผู้ก่อความไม่สงบที่เกือบไม่มีอาวุธ และไม่มีความเชี่ยวชาญสามารถเข้าโจมตีสำเร็จได้อย่างไร
รัฐบาลระบุว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ขโมยอาวุธ และกระสุนระหว่างบุกโจมตีนั้นมีความเชื่อมโยงต่อกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงในต่างประเทศ
“ศาลตัดสินจำคุกเจ้าหน้าที่อาวุโส 3 นาย ในเมืองหม่องดอ ระหว่าง 1-3 ปี เพราะมีความผิดฐานละเลยการรักษาความปลอดภัยในช่วงเกิดเหตุโจมตีวันที่ 9 ต.ค.” เย นาย กล่าว
ส่วนโฆษกตำรวจกล่าวต่อเอเอฟพีเช่นเดียวกันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโส 3 นาย ถูกตัดสินจำคุกเนื่องจากปล่อยให้การบุกโจมตีเกิดขึ้นภายใต้การดูแลของพวกเขา
“ตำรวจได้รับแจ้งจากชาวบ้านล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุ แต่ผู้กำกับการตำรวจไม่ดำเนินการ และปฏิเสธข้อมูลที่ได้รับ โดยคิดไปว่าไม่น่าจะเป็นไปได้” โฆษกตำรวจ กล่าว
เย นาย ไม่ได้ชี้แจงถึงวันที่ตัดสินความผิด หรือรายละเอียดการสืบสวนได้ แต่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงหลายนายยังคงถูกสอบสวนโดยกระทรวงมหาดไทยที่ทหารเป็นผู้กำกับควบคุม
ชาวมุสลิมโรฮิงญาราว 1.1 ล้านคน ใช้ชีวิตในสภาพถูกแบ่งแยก ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ถูกปฏิเสธสิทธิการเป็นพลเมือง
สหประชาชาติรายงานว่า มีการสังหารหมู่ และการข่มขืนเกิดขึ้นระหว่างการปราบปรามของกองกำลังรักษาความมั่นคง ที่ระบุว่า อาจเทียบได้กับการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือทหารอาวุโสคนใดรับผิดชอบการก่ออาชญากรรมที่ถูกกล่าวหาเหล่านี้
รัฐบาลพลเรือนภายใต้การนำของนางอองซานซูจี ปฏิเสธข้อกล่าวหาเกือบทั้งหมดที่เกี่ยวกับกองกำลังรักษาความมั่นคงของประเทศ โดยระบุว่า ปฏิบัติการปราบปรามที่เกิดขึ้นดำเนินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ต.ค.