รอยเตอร์ - รัฐสภากัมพูชาเดินหน้าแก้ไขกฎหมายในวันนี้ (20) ที่จะห้ามบุคคลใดก็ตามที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการกระทำผิดกฎหมายลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลต่อคู่แข่งคนสำคัญของนายกรัฐมนตรีฮุนเซน อย่างชัดเจน
นักวิจารณ์กล่าวว่า การอนุมัติแก้กฎหมายฉบับนี้จะบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยแบบพรรคการเมืองหลายพรรคซึ่งตั้งขึ้นในกัมพูชาตามที่ลงนามในข้อตกลงสันติภาพปี 2534 และอาจเปลี่ยนกัมพูชาให้กลายเป็นรัฐที่มีพรรคเดียวโดยพฤตินัย
ฝ่ายตรงข้ามได้กล่าวหาฮุนเซน ว่า ดำเนินกลยุทธ์ที่ไม่เป็นธรรม ในความพยายามที่จะรักษาการกุมอำนาจที่ยาวนาน 3 ทศวรรษ ในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย. และการเลือกตั้งทั่วไปที่มีกำหนดจัดขึ้นในปีหน้า
พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ที่เป็นพรรครัฐบาล ได้ลงมติแก้กฎหมายการเลือกตั้งปี 2541 ห้ามพรรคการเมืองที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่ประกอบด้วยการยั่วยุปลุกปั่น การส่งเสริมการแบ่งแยกดินแดน หรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ส่วนนักการเมืองที่ถูกศาลตัดสินความผิด จะถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง และพรรคของเมืองของนักการเมืองคนดังกล่าวสามารถถูกยุบได้
แต่การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ ไม่ได้รวมไปถึง นายสม รังสี หัวหน้าฝ่ายค้านที่ถูกตัดสินความผิดจากข้อหาหมิ่นประมาทหลายคดี และลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2558 เพื่อเลี่ยงโทษในคดีต่างๆ
สม รังสี ได้ประกาศลาออกจากพรรคกู้ชาติกัมพูชา (CNRP) ในเดือนนี้ โดยระบุว่า ต้องการที่จะรักษาพรรค ที่อาจเผชิญต่อกฎหมายฉบับแก้ไขดังกล่าว และปฏิเสธข้อหาต่างๆ ที่ตนเองถูกฟ้องร้อง โดยอ้างว่าคดีต่างๆ เป็นแรงจูงใจทางการเมือง
สมาชิกรัฐสภา 55 คน ของพรรค CNRP คว่ำบาตรการลงมติของรัฐสภาในวันนี้ (20) โดยระบุว่าการลงมติมีเป้าหมายโจมตีพรรคของพวกเขา แต่พรรคของฮุนเซน ที่เป็นเสียงข้างมากในสภาก็ลงมติผ่านการแก้ไขกฎหมายไปได้
เชียง วัน สมาชิกรัฐสภาพรรครัฐบาล กล่าวยินดีต่อการแก้ไขกฎระเบียบการเลือกตั้งโดยระบุว่า กฎหมายนี้จะอนุญาตให้กระทรวงมหาดไทย เริ่มปิดพรรคการเมืองบางส่วนจากทั้งหมด 76 พรรคในประเทศ ซึ่งมีเพียง 45 พรรค ที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง
รัฐสภาแห่งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อสิทธิมนุษยชน เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า “หายนะของประชาธิปไตย” ในกัมพูชา
ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ ภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า กัมพูชากำลังจะกลายเป็นประเทศประชาธิปไตยจอมปลอม และความเงียบของรัฐบาลต่างชาติ และประเทศผู้บริจาคช่วยเหลือต่อความเคลื่อนไหวนี้เป็นสิ่งที่น่าผิดหวังอย่างที่สุด.