xs
xsm
sm
md
lg

ผู้นำเวียดนามประกาศทำสงครามกำจัด “กุ้งยัดไส้” ฉีดสารเพิ่มน้ำหนัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online



เตื่อยแจ๋ - นายกรัฐมนตรีเหวียน ซวน ฟุก ของเวียดนาม ประกาศทำสงครามกับการฉีดกุ้งด้วยสารที่คล้ายเยลลี่ ในตลาดกุ้งส่งออกของประเทศ ความเคลื่อนไหวที่จะปรับปรุงภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ

ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นในสัปดาห์นี้ระหว่างการประชุมเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งเวียดนาม ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท ใน จ.ก่าเมา ที่อยู่ในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงทางภาคใต้ของประเทศ

“รัฐบาลเวียดนามจะปราบปรามอย่างหนักต่อบรรดาผู้ที่ละเมิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งของประเทศ และทำให้กุ้งเวียดนามมีชื่อเสียงไม่ดี” นายกรัฐมนตรีเหวียน ซวน ฟุก กล่าวในที่ประชุม

การฉีดสารเข้าไปในตัวกุ้งนั้นแทบจะไม่เป็นข่าวในเวียดนาม และเจ้าหน้าที่รัฐได้ต่อสู้กับกุ้งฉีดสารมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี แต่ความพยายามของเจ้าหน้าที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก

การฉีดสารเข้าไปในตัวกุ้งพบแพร่หลายในจังหวัดเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง เช่น จ.ก่าเมา จ.บั๊กเลียว จ.ซ้อกจาง และ จ.เกียนซยาง ที่ส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของฟาร์มกุ้ง ตามรายงานของกรมประกันคุณภาพการเกษตร ป่าไม้ และประมงแห่งชาติ (NAFIQAD)

พ่อค้ากุ้งในพื้นที่เหล่านี้ได้ฉีดสารคล้ายเยลลี่เข้าไปในหัว ท้อง และหางของกุ้ง และทำกันมานานเพื่อเพิ่มขนาด น้ำหนัก และความสดของกุ้ง

นับตั้งแต่ปี 2541 กระทรวงประมงของประเทศที่ในเวลานี้เป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท ได้ดำเนินโครงการหลายโครงการและรณรงค์ที่จะกำจัดแนวทางปฏิบัติที่ผิดกฎหมายนี้ แต่จนถึงตอนนี้การแก้ปัญหาก็ยังไม่บรรลุผลสำเร็จ

เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น สองประเทศผู้นำเข้ากุ้งจากเวียดนามรายใหญ่ได้เตือนว่าจะดำเนินการต่อการนำเข้ากุ้งจากเวียดนาม หากเวียดนามยังไม่สามารถยุติการฉีดสารเข้าไปในตัวกุ้งได้

ในปี 2559 NAFIQAD ได้ทำงานร่วมกันกับหน่วยงานตำรวจรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของการเกษตร ป่าไม้ และประมง ในการปราบปรามแหล่งแปรรูปกุ้ง ใน จ.บั๊กเลียว และ จ.ก่าเมา ที่พบว่าฉีดสารเข้าไปในตัวกุ้ง และยังให้คำมั่นที่จะดำเนินมาตรการปราบปรามให้หนักยิ่งขึ้นในปีนี้

ปัจจุบัน การส่งออกกุ้งไปยังตลาดต่างประเทศของเวียดนามมีมูลค่าเฉลี่ยในแต่ละปีที่ 3,000 ล้านดอลลาร์ และทางการกำลังหาหนทางที่จะขยายพื้นที่เลี้ยงกุ้งให้สามารถทำรายได้จากการส่งออกกุ้งที่ 10,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2568.
กำลังโหลดความคิดเห็น