รอยเตอร์ - องค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ เรียกร้องให้พม่าลงโทษผู้บัญชาการทหาร และตำรวจ หากพวกเขาได้อนุญาตให้กองกำลังข่มขื และทำร้ายร่างกายผู้หญิงและเด็กหญิงชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญา
ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ระบุว่า องค์กรได้รับเอกสารเกี่ยวกับการข่มขืน รุมข่มขืน และความรุนแรงทางเพศอื่นๆ ต่อเด็กหญิงที่มีอายุเพียง 13 ปี ในการสัมภาษณ์ชาวมุสลิมโรฮิงญาบางส่วนจากทั้งหมด 69,000 คน ที่หลบหนีเข้ามาในบังกลาเทศ ตั้งแต่ที่กองกำลังรักษาความมั่นคงของพม่าตอบโต้การโจมตีด่านชายแดนเมื่อ 4 เดือนก่อน
“ความรุนแรงทางเพศไม่ปรากฏเป็นแบบสุ่ม หรือฉวยโอกาส แต่เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่มีการประสานงานและทำอย่างเป็นระบบต่อชาวโรฮิงญา เพียงเพราะเหตุของเชื้อชาติและศาสนา” ฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุ
ชาวโรฮิงญาประมาณ 1.1 ล้านคน อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ แต่ความเคลื่อนไหวและการเข้าถึงบริการต่างๆ ถูกจำกัด และชาวโรฮิงญาเหล่านี้ไม่ได้รับสิทธิความเป็นพลเมืองในพม่า ที่หลายคนมองว่าเป็นชาวเบงกาลี ที่อพยพเข้าประเทศผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ
ส่วนผู้สื่อข่าวอิสระ และผู้สังเกตการณ์ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติการของทหารในรัฐยะไข่ ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.
รัฐบาลปฏิเสธข้อกล่าวหาส่วนใหญ่ที่ว่าทหารก่อเหตุข่มขืน สังหาร และจับกุมตัวพลเรือนโดยพลการ รวมทั้งเผาหมู่บ้าน และยืนยันว่า ปฏิบัติการของทหารดำเนินการตามกฎหมาย
รายงานของฮิวแมน ไรท์ วอทช์ มีขึ้นไม่กี่วันหลังผู้สืบสวนสหประชาชาติิ ระบุว่า กองกำลังรักษาความมั่นคงพม่ามีแนวโน้มอย่างมากในการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
เซอิด ราอัด อัล ฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ซูจีได้ให้คำมั่นที่จะสืบสวนข้อกล่าวหาของสหประชาชาติ
ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ กล่าวว่า องค์กรได้รวบรวมหลักฐานกรณีข่มขืน 28 กรณี รวมทั้งการสัมภาษณ์หญิง 9 คน ที่ระบุว่า ถูกข่มขืนหรือรุมข่มขืนโดยทหารใช้ปืนจ่อในระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างในพื้นที่ทางเหนือของรัฐยะไข่ ซึ่งผู้หญิง และพยานกล่าวว่า ผู้กระทำผิดเป็นทหาร และตำรวจชายแดนพม่าที่พวกเขาระบุได้จากเครื่องแบบ ผ้าพันคอ ปลอกแขน และตราต่างๆ
“การโจมตีที่น่ากลัวเหล่านี้ต่อผู้หญิง และเด็กหญิงชาวโรฮิงญาโดยกองกำลังรักษาความมั่นคง เพิ่มบทใหม่อันโหดร้ายต่อประวัติอันน่าสะอิดสะเอียนของการใช้ความรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิงของทหารพม่า” นักวิจัยอาวุโสของฮิวแมน ไรท์ วอทช์ กล่าว
“ผู้บัญชาการทหาร และตำรวจควรรับผิดชอบต่ออาชญากรรมเหล่านี้ หากพวกเขาไม่ได้ทำอะไรภายใต้อำนาจของพวกเขาในการยับยั้ง หรือลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้อง”.