MGRออนไลน์ -- เรือดำน้ำลำที่ 6 ที่เวียดนามซื้อจากรัสเซีย ไปถึงสิงคโปร์สัปดาห์นี้ บนเรือขนส่งทางทะเลขนาดใหญ่ แวะเติมเชื้อเพลิงและเสบียง ก่อนออกเดินทาง เพื่อไปถึงบริเวณฐานทัพอ่าวกามแรงในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ภาพจากเว็บไซต์ที่ติดตามเรือเดินทะเลแสดงให้เห็นเรือบ่าเหรียะ วุงเต่า (Ba Ria Vung Tau) บนเรือโรลด็อกสตอร์ม (Rolldock Storm) บ่ายหน้าออกจาก บริเวณช่องแคบ ที่มีเรือเดินสมุทรพลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในตอนเช้าตรูวันนี้เพื่อไปยังบ้านแห่งใหม่
เรือขนส่งขนาดใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ นำเรือดำน้ำลำสุดท้ายของเวียดนามออกจากเมืองท่าคิลินินกราด (Kiliningrad) ริมฝั่งทะเลบัลติก เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2559 แล่นผ่านอ่าวฟินแลนด์ เข้าทะเลเหนือ ผ่านช่องแคบอังกฤษ แล่นเลียบฝั่งยุโรปตะวันตก ยุโรปใต้ ไปอ้อมแหลมแอฟริกา ก่อนผ่านเข้าสู่มหาสมุทรอินเดีย ช่วงวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมา
บ่าเหรียะ หวุ่งเต่า (187) ลัดเลาะลงใต้ไปไปผ่านช่องแคบซุนดา (Sunda) ระหว่างเกาะสุมาตรา-เกาะชวา อินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ก่อนวกขึ้นไปยังบริเวณช่องแคบสิงคโปร์ในวันถัดมา
ตามรายงานของเดิ๊ตเหวียด (Dat Viet) ออนไลน์ก่อนหน้านี้ เรือบ่าเหรียะ หวุงเต่า จะไปถึงน่านน้ำเวียดนามในวันศุกร์ แต่จะยังไม่มีพิธีตรวจรับอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะผ่านกระบวนการทดสอบ อีกหลายขั้นตอน เช่นเดียวกัน "เรือพี่" อีก 5 ลำ ที่เวียดนามได้รับมอบจากรัสเซีย ในช่วงหลายปีมานี้
บ่าเหรียะ หวุงเต่า เป็นลำสุดท้ายที่เวียดนาม ซื้อจากรัสเซียในเดือน ธ.ค.2552 ในแพ็คเกจใหญ่มูลค่าราว 2,000 ล้านดอลลาร์ ที่รวมทั้งการฝึกอบรมบุคลากร และ การจัดสร้างอู่จอดซ่อมบำรุง ในกามแรง (Cam Ranh/คัมราน) ซึ่งเป็นฐานทัพเก่าแก่ ที่สหรัฐสร้างขึ้นในช่วงสงครามเวียดนาม และ ต่อมาได้กลายเป็นฐานทัพนอกประเทศใหญ่ที่สุดของสหภาพโซเวียต
ทั้ง 6 ลำต่อจากอู่แอดมิรัลตี (Admiralty Verfi) ที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย ตามซีรีส์การผลิตเรือดำน้ำที่มีชื่อว่า โครงการ 636 "วาร์ชาวิยันกา" (Varshavyanka) เป็นรุ่นที่รัสเซียอัปเกรดขึ้นจากโครงการ 877 ที่ดำเนินมา ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1983 ในยุคสหภาพโซเวียต
นาโต้เรียกเรือที่ต่อตามโครงการ 877 กับ 636 ว่า เรือชั้นคิโล (Kilo-class) เหมือนกันหมด แต่เรียกเรือรุ่นหลังสุดนี้เป็น Improved Kilo หรือ เรือคิโลรุ่นปรับปรุง ซึ่งในปัจจุบันมีประจำการในกองทัพเรือหลายประเทศ รวมทั้งอินเดีย จีน อิหร่านและโปแลนด์ แต่มีคุณสมบัติเฉพาะแตกต่างกันไป
เรือยาวรวม 74 เมตร กว้างสุด 10 เมตร ใช้พลประจำการ รวมทั้งนายทหาร 52 คน ดำน้ำได้ลึกสุด 300 เมตร ทำความเร็วสูงสุด 37 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีระยะปฏิบัติการ 9,600 กม. อยู่ใต้น้ำได้นาน 45 วันหรือจนกว่าเสบียงจะหมด เรือคิโลรุ่นปรับปรุง ได้ชื่อในเรื่องความเงียบ ตรวจจับได้ยาก ทำให้โลกตะวันตกตั้งฉายาว่า "หลุมดำในมหาสมุทร" (Black Hole in the Ocean)
.
2
3
4
5
เรือ 636 ติดท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 533 มม.จำนวน 6 ท่อ ซึ่งใช้ยิงจรวดคลูบ (Klub) ได้
นี่คือเวอร์ชั่นส่งออก ของอาวุธปล่อยนำวิถียิงเรือแบบคาลิเบอร์ (Kalibr) ที่สามารถใช้โจมตีเป้าหมายบนบกได้ ซึ่งเมื่อปลายปีที่แล้ว รัสเซียได้เผยให้โลกภายนอก ได้เห็นประสิทธิภาพของอาวุธชนิดนี้เป็นครั้งแรก ในสงครามซีเรีย โดยยิงจากเรือฟริเกต กับเรือคอร์แว็ต 3 ลำในทะเลแคริบเบียน ผ่านดินแดนอิหร่าน อิรัก ไปทำลายที่ตั้งกลุ่มก่อการร้าย ISIS กว่า 10 แห่ง รวมระยะปฏิบัติการ 1,500 กม.
เวลาต่อมาเรือดำน้ำชั้นคิโลของรัสเซียลำหนึ่ง ได้ยิงจรวดร่อนแคลิเบอร์ แบบเดียวกันนี้จากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไปทำลายเป้าหมาย ISIS ในซีเรียเช่นเดียวกัน แต่จรวดคลูบที่ติดตั้งบนเรือคิโลของเวียดนาม เป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ที่มีระยะยิง 300 กม. เป็นอาวุธเพื่อการป้องปราม และป้องกันตนเอง
เวียดนามกล่าวว่า เรือดำน้ำทั้ง 6 ลำ จะใช้ประโยชน์ในการต่อต้านเรือดำน้ำ กับเรือรบผิวน้ำของข้าศึก ป้องกันฐานทัพ ป้องกันการรุกล้ำน่านน้ำ กับเศรษฐกิจพิเศษ และ ป้องกันชายฝั่งที่มีความยาวเกือบ 3,000 กม. รวมทั้งใช้ในภารกิจสอดแนมด้วย
ตามรายงานของหน่วยงานด้านควบคุมอาวุธขององค์การสหประชาชาติ เมื่อหลายปีก่อนเวียดนามได้รับมอบจรวดร่อนคลูบ จากรัสเซียกว่า 50 ลูก (50 ระบบ) ทั้งแบบ 3M54 สำหรับยิงเรือผิวน้ำ/โจมตีเป้าหมายบนฝั่ง และ 3M14 หรือ Klub-S ยิงเรือดำน้ำ
จรวดทั้งสองรุ่นติดหัวรบน้ำหนัก 400 กก. ปฏิบัติการ "ร่อน" ความเร็วต่ำกว่าเสียง ในระยะเริ่มต้น ก่อนพุ่งเข้าใส่เป้าหมายในระยะสุดท้าย ด้วยความเร็ว 3 เท่าเสียง บนความสูงจากพื้นหรือระดับน้ำทะเล 5-10 เมตร ทำให้ตรวจจับ และยิงทำลายได้ยาก
เวียดนามใช้เวลาเพียง 8 ปี ในการสร้างกองพลน้อยเรือดำน้ำ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ เรือบ่าเหรียะ หวุงเต่า ที่กำลังบ่ายหน้าสู่ฐานทัพอ่าวกามแรง ได้ทำให้เวียดนามเป็นเจ้าของกองเรือดำน้ำใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.