xs
xsm
sm
md
lg

เป็นเรื่องแปลกแต่จริง เวียดนามมีด็อกเตอร์ 24,000 คน หายไป 15,000

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<bR><FONT color=#000033>นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐในขณะนั้นไปเยือนเวียดนามและปราศรัยในโอกาสครบรอบ 10 ปีการก่อตั้งสมาคมศิษย์เก่ามูลนิธิฟูลไบรต์ที่มหาวิทยาลัยการค้าต่างประเทศในกรุงฮานอยวันที่ 10 ก.ค.2555 เวียดนามมีสมาคมศิษย์เก่าสหรัฐที่ใหญ่โต ปัจจุบันนักเรียนนักศึกษาอีกหลายหมื่นคนกำลังศึกษาในสหรัฐ แต่ประเทศนี้ก็มีทั้งดอกเตอร์จริงและดอกเตอร์ไม่จริงรวมทั้งหมดกว่า 24,000 คน ในนั้นสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยไม่ถึง 10,000 คน จำนวนที่เหลือไม่ทราบทำอะไรอยู่แห่งหนตำบลใด นักวิชาการกล่าวว่าเวียดนามมีดอกเตอร์มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่การศึกษาของประเทศยังล้าหลัง ยังไม่มีมหาวิทยาลัยสักแห่งเดียวที่ติดอันดับ 500 มหาวิทยาลัยของโลก. -- Agence France-Presse/Pool/Brendan Smialowski. </b>

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ตามสถิติล่าสุดของกระทรวงศึกษาธิการและฝึกอบรม ในปี 2556 มีผู้เรียนสำเร็จระดับปริญญาเอก สอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ จำนวน 8,519 คน ในระดับวิทยาลัยอีก 633 คน ในขณะที่ทั่วทั้งประเทศมี “ด็อกเตอร์” สาขาต่างๆ ราว 24,300 คนซึ่งทำให้เกิดคำถามขึ้นในสังคมว่า ดุษฎีบัณฑิตอีก 15,000 คน ทำอะไรอยู่ไหน เหตุใดจึงไม่เข้ามีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ

ตามข้อมูลตัวเลขของ ดร.เหวียนคักหุ่ง (Nguyen Khac Hung) อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ของสถาบันบริหารรัฐกิจแห่งชาติ เวียดนามมีผู้เรียนสำเร็จชั้นดุษฎีบัณฑิตมากกว่าญี่ปุ่นถึง 5 เท่า แต่ในขณะเดียวกัน การได้มาซึ่งปริญญาเอกของบุคคลในวงการต่างๆ จำนวนไม่น้อยเคยตกเป็นข่าวอื้อฉาว ในนั้นมีบุคคลระดับรองประธานคณะกรรมการประชาชน หรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดรวมอยู่ด้วย ซึ่งล้วนเป็นข่าวในทางลบ

เมื่อไม่นานมานี้ กรุงฮานอย ได้ประกาศแผนการที่เรียกว่า “ยุทธศาสตร์การพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐ” ซึ่งตั้งเป้าหมายจะทำให้ได้ครบถ้วน 100% ในปี 2563 โดยในระดับคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ สาขานครหลวง ทุกคนจะต้องเป็นดุษฎีบัณฑิตทั้งหมด บุคคลในระดับบริหารของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสังกัดราวครึ่งหนึ่งจะต้องสำเร็จด็อกเตอร์ เจ้าหน้าที่ระดับนำในคณะบริหารคอมมูนทุกแห่ง ระดับหมู่บ้าน และเมือง จะต้องเรียนสำเร็จมหาวิทยาลัยทั้งหมด เจ้าหน้าที่ระดับรองจะต้องเรียนสำเร็จระดับมหาวิทยาลัย จึงจะมีคุณสมบัติในตำแหน่ง ส่วนที่เหลือคือ เจ้าหน้าที่ระดับล่างราว 50% จะต้องเรียนสำเร็จในระดับวิทยาลัย หรืออนุปริญญา

เรื่องนี้ได้ทำให้นครอื่นๆ รวมทั้งจังหวัดต่างๆ ขยับตามเอาอย่างทางการกรุงฮานอย ซึ่งหมายความว่า ใน 5-6 ปีข้างหน้า เวียดนาม จะมีผู้เรียนสำเร็จด็อกเตอร์เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ในขณะที่หาตัวด็อกเตอร์อีก 15,000 คน ที่มีอยู่ยังไม่พบ

ด็อกเตอร์เหล่านั้นกำลังทำอะไรอยู่? นับเป็นคำถามที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าในขณะที่เวียดนามมีด็อกเตอร์มากมายเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคนี้ แต่งานวิจัยทางวิชาการแขนงต่างๆ ในเวียดนามกลับมีน้อยกว่าทุกประเทศในย่านเดียวกัน และมีอัตราต่ำที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสำเร็จทางด้านวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในระดับต่ำ การประดิษฐ์คิดค้นต่างๆ ยังมีน้อย และยังไม่เคยมีการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งสำคัญใดๆ ปรากฏต่อสาธารณชน สำนักข่าวเวียดนามเน็ตระบุดังกล่าวในรายงานชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ข่าวภาษาเวียดนามสัปดาห์นี้

ตามรายงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี นอกจากเวียดนามจะมีผู้เรียนสำเร็จปริญญาเอก (PhD) ถึง 24,300 คนแล้ว ก็ยังมีผู้เรียนสำเร็จระดับมหาบัณฑิตอีกกว่า 101,000 คน คิดเป็นอัตราเพิ่ม 11.6% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2539 และในนั้นผู้เรียนสำเร็จปริญญาโททางวิทยาศาสตร์หรือ MSc เพิ่มขึ้น 14% ต่อปี
.
<bR><FONT color=#00003>ศ.ดร.เหวียนเทียนเญิน (กลาง) ในภาพวันที่ 21 พ.ค.2550 ครั้งต้อนรับนายสตีฟ บอลเมอร์ ซีอีโอบริษัทยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ที่ไปเยือน ศ.ดร.เญินเป็นกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์เพียงคนเดียวที่สำเร็จดุษฎีบัณฑิตจากสหรัฐ เป็นอดีตรัฐมนตรีศึกษาธิการเจ้าของโครงการผลิตดุษฎีบัณฑิตกับมหาบัณฑิตที่เรียนจบจากต่างประเทศให้ได้ 20,000 คนภายในปี 2563 ศ.ดร.เญินหลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรีไปเมื่อหลายปีก่อนและหลุดจากทุกตำแหน่งในรัฐบาลโดยสิ้นเชิงเมื่อปีที่แล้วไปรับตำแหน่งประธานแนวร่วมปิตุภูมิเวียดนาม ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ดูแลโครงการจนตลอด แต่ปัจจุบันประเทศนี้ก็มีดุษฎีบัณฑิตที่เรียนสำเร็จจากแหล่งต่างๆ ด้วยวิธีการต่างๆ กว่า 24,000 คน ในนั้นมี 15,000 คนที่ยังไม่เคยปรากฎตัวตน. -- Reuters/Stringer. </b>
.
ศ.ดร.ฝ่ามบิ๊กซาน (Pham Bich San) รองเลขาธิการสหภาพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเวียดนาม กล่าวว่า ในขณะที่ประเทศมีศาสตราจารย์ มีด็อกเตอร์มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยังไม่มีมหาวิทยาลัยแห่งใดในเวียดนามติดใน 500 อันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก นอกจากนั้น ยังมีมหาวิทยาลัยในเวียดนาม 21 แห่ง ที่ไม่ได้รับการรับรองจากสถาบันตรวจสอบมาตรฐานด้านการศึกษาในสหรัฐฯ

เคยมีข่าวตลกร้ายเมื่อหลายปีก่อน คือ มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐจำนวนไม่น้อยเรียนทางไกลจนสำเร็จปริญญามหาบัณฑิตเออร์วายน์ (University of Irvine) และมหาวิทยาลัยเซาธ์แปซิฟิก (University of South Pacific) ในสหรัฐฯ แต่ในเวลาต่อมาได้ปรากฏว่า ทั้ง 2 แห่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่มีตัวตน

มีอีกเรื่องหนึ่งโผล่ขึ้นมาในเดือน มิ.ย.2553 เจ้าหน้าที่ระดับผู้อำนวยการสำนักงานคนหนึ่งของ จ.ฝุถ่อ (Phu Tho) ทางทิศเหนือของกรุงฮานอย ได้เผยแพร่วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของตนซึ่งมีชื่อเรื่องยาวเหยียด และเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษให้ถูกต้องได้แม้เพียงประโยคเดียว การสอบสวนปรากฏว่า เจ้าหน้าที่คนนี้ได้รับปริญญา PhD จาก “มหาวิทยาลัยมหาสมุทรแปซิฟิกใต้” ในสหรัฐฯ

อีกกรณีหนึ่ง .. “ดร.” เหวียนวันหง็อก (Nguyen Van Ngoc) ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สาขา จ.เอียนบ่าย (Yen Bai) ทางทิศเหนือกรุงฮานอยเช่นกัน เรียนสำเร็จ PhD จากมหาวิทยาลัยเซาธ์แปซิฟิก โดยใช้เวลาเรียนเพียง 6 เดือน และค่าเล่าเรียน 17,000 ดอลลาร์ เป็นทุนการศึกษาของรัฐบาลซึ่งไปจากเงินภาษีของประชาชน

ยังมีด็อกเตอร์ในเวียดนามอีกจำนวนมากมายที่ไม่เคยปรากฏตัวต่อสาธารณชน และที่มาของวุฒิการศึกษาของพวกเขาไม่เคยได้ผ่านการตรวจสอบ เวียดนามเน็ตกล่าว.
กำลังโหลดความคิดเห็น