.
เอเอฟพี - บรรดาเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟชาวเวียดนามอาจไม่คุ้นเคยกับคำว่า “Double tall skinny latte” แต่พวกเขาสามารถบอกราคาเมล็ดกาแฟแก่คุณได้แม้ในเวลาหลับ
จากระบบชลประทานเทคโนโลยีขั้นสูงของอิสราเอล ไปจนถึงข้อความอัปเดตราคาสินค้าในตลาดโลก การทำไร่กาแฟในพื้นที่ราบสูงภาคกลางของเวียดนามได้ดำเนินมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ฝรั่งเศสนำเมล็ดกาแฟเข้ามาในประเทศเมื่อราวศตวรรษก่อน
“ฉันเคยขนกาแฟไปตลาดด้วยจักรยาน ในตอนนี้ ฉันตรวจสอบราคากาแฟในโทรศัพท์มือถือของฉันก่อนจะออกไปตลาด” เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟชาวเวียดนามวัย 44 ปี กล่าว
แค่พิมพ์ข้อความว่า “CA” ไปยังหมายเลข 8288 จากโทรศัพท์มือถือ เกษตรกรจะได้รับข้อความตอบกลับทันทีเกี่ยวกับราคาเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าในลอนดอน และราคาเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้าในนิวยอร์ก จากบริษัทที่ให้บริการข้อมูล เพราะราคากาแฟที่เป็นสินค้าที่มีการซื้อขายมากเป็นอันดับ 2 รองจากน้ำมันนั้นเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
“เราเพียงแค่นำกาแฟไปตลาดเมื่อเรามั่นใจว่าจะได้ราคาสูง เราตรวจสอบราคากันตลอด” เกษตรกรรายเดิมที่มีไร่อยู่นอกเมืองบวนมาถวต เมืองหลวงแห่งกาแฟเวียดนาม กล่าวกับเอเอฟพี
เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟชาวเวียดนามได้เปลี่ยนตลาดโลก เพราะเพียงแค่คุณดื่มกาแฟ 1 ถ้วยในตอนเช้า มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่คุณจะบริโภคเมล็ดกาแฟของเวียดนามที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ของบริษัทต่างๆ เช่น เนสท์เล่ หรือคอสต้าคอฟฟี่ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ซื้อรายใหญ่
ในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เวียดนามที่เคยสามารถผลิตกาแฟได้น้อยกว่า 0.1% ของผลผลิตรวมในโลกในปี 2523 สามารถขยายการผลิตเพิ่มเป็น 13% ในปี 2553 และในเวลานี้ เวียดนามกลายเป็นผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก แต่ถูกมองว่าเน้นการผลิตในปริมาณสูงมากกว่าคุณภาพสูง โดยเฉพาะกาแฟโรบัสต้าของเวียดนามที่ชนะรางวัลไม่กี่รายการ และส่วนใหญ่ส่งออกในรูปของเมล็ดกาแฟดิบ
“เวียดนามถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าแปลกใจมาก” โจนาธาน คลาร์ก ผู้อำนวยการบริษัท Dakman ผู้ส่งออกกาแฟ กล่าวและว่า การส่งออกกาแฟของเวียดนามในปีที่ผ่านมาเกือบเท่ากับบราซิล ที่เป็นผู้ผลิต และส่งออกกาแฟอันดับ 1 ของโลก
ในปี 2555 เวียดนามส่งออกกาแฟรวมทั้งสิ้น 1.73 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 3,670 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของผลผลิตโรบัสต้าของโลก ที่มักนำไปใช้ผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูป หรือส่วนผสมอื่นๆ
โจนาธาน คลาร์ก กล่าวว่า การบริโภคกาแฟในเอเชียกำลังขยายตัวเพิ่มสูง บรรดาผู้ผลิตต่างจับจ้องมาที่ประเทศต้นทุนต่ำที่ไม่มีภาษีส่งออกกาแฟ หวังตั้งกิจการเพื่อเพิ่มสถานะการปรากฏตัวในภูมิภาค
.
.
เนื่องจากอัตราการบริโภคที่ซบเซาลงในฝั่งตะวันตก เวียดนาม ประเทศที่ชนชั้นกลางกำลังเติบโต รวมทั้งความรักในกาแฟที่มีมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้ประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้เต็มไปด้วยโอกาส ประธานบริษัทสตาร์บัคส์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ระบุ
สตาร์บัคส์ที่เปิดร้านสาขาแห่งแรกในเวียดนามที่นครโฮจิมินห์ เมื่อเดือน ก.พ. กล่าวว่า บริษัทจะเปิดสาขาเพิ่มอีกหลายร้อยแห่งในอนาคตอันใกล้นี้ในเวียดนาม โดยอธิบายว่าเวียดนามเป็นตลาดที่มีพลวัต และน่าตื่นเต้น
ดินภูเขาไฟของเวียดนามนั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปลูกกาแฟ และในขณะที่คอกาแฟทั่วโลกคุ้นเคยกับอาราบิก้าที่มีกาเฟอีน 1.5% พวกเขาควรตื่นตัว และรับกลิ่นแห่งความสุขของโรบัสต้าที่เข้มกว่า 2.5% นายดั่ง เล เหวียน หวู ผู้ก่อตั้งบริษัทจุงเหวียน ผู้ผลิตกาแฟยักษ์ใหญ่ของเวียดนาม ระบุ
บริษัทจุงเหวียน มีร้านกาแฟในเวียดนาม 55 แห่ง และในสิงคโปร์ อีก 5 แห่ง หวังที่จะนำกาแฟโรบัสต้าของเวียดนามปักหมุดลงบนแผนที่
“โรบัสต้าไม่ใช่กาแฟคุณภาพต่ำ เพียงแต่ทั่วโลก ผู้คนถูกสอนให้ดื่มกาแฟอาราบิก้า” นายดั่ง เล เหวียน หวู ผู้ก่อตั้งกาแฟจุงเหวียน กล่าว
การทำงานของบริษัทส่วนใหญ่คือ การปรับปรุงคุณภาพเมล็ดกาแฟในท้องถิ่น ทำงานร่วมกับเกษตรกร แนะนำการชลประทานเทคโนโลยีขั้นสูง ลดการใช้ยาฆ่าแมลง และเพิ่มรายได้
จุงเหวียน ส่งออกกาแฟไป 60 ประเทศทั่วโลก และการปรากฏตัวของสตาร์บัคส์ในเวียดนามเมื่อไม่นานนี้ ได้เพิ่มความมุ่งมั่นให้แก่จุงเหวียนที่จะเปิดร้านกาแฟในสหรัฐฯ ด้วยการนำเสนอกาแฟที่เข้มข้นผ่านชั้นกรองในแต่ละหยดตามแบบฉบับดั้งเดิมของเวียดนาม
“เราต้องทำให้ดีกว่าสตาร์บัคส์ เราต้องเสนอสิ่งที่น่าดึงดูดใจมากกว่าให้แก่ผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ผมต้องการให้โลกเข้าใจว่า กาแฟเวียดนามนั้นดีที่สุด สะอาดที่สุด และพิเศษที่สุด”.