เอเอฟพี - ประชาชนอย่างน้อย 112 คน เสียชีวิตจากการปะทะกันระหว่างชาวพุทธ และมุสลิมในภาคตะวันตกของพม่า บ้านเรือนหลายพันหลังถูกเผาเสียหาย กลายเป็นอุปสรรคในความพยายามของรัฐบาลที่จะปรับภาพลักษณ์ของประเทศต่อนานาชาติ
ประชาชนต่างหลบหนีออกจากที่อยู่อาศัยของตัวเองหลังเกิดการปะทะกันครั้งล่าสุดในรัฐยะไข่ ที่สืบเนื่องมาจากความรุนแรงระหว่างชุมชนเมื่อเดือน มิ.ย. ซึ่งสร้างความแตกแยกให้แก่ชุมชนต่างๆ และส่งผลให้ผู้คนนับหมื่นที่ส่วนใหญ่เป็นโรฮิงญาต้องอาศัยอยู่ในค่ายพักแรมชั่วคราว
“จนถึงเช้าวันนี้ (26) มีชาย 51 คน และหญิง 61 คน เสียชีวิต” นายวิน มาย โฆษกรัฐยะไข่ กล่าว ซึ่งยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดนี้มากขึ้นกว่าเท่าตัวจากที่ระบุไว้ก่อนหน้า และผู้เสียชีวิตมีทั้งชาวพุทธยะไข่ และมุสลิมโรฮิงญา ขณะที่จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บมีอีกเป็นจำนวนมากจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 4 เมืองของรัฐยะไข่
ทางการพม่าระบุว่า นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. เป็นต้นมา มีประชาชนเสียชีวิตแล้วมากกว่า 200 คน
สหประชาชาติเตือนว่า สถานการณ์ความไม่สงบระหว่างชาวยะไข่ และโรฮิงญาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ กำลังคุกคามความพยายามปฏิรูปประเทศของพม่า และนายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติระบุในคำแถลงฉบับหนึ่งที่เผยแพร่ในนครย่างกุ้งว่า การโจมตี และมุ่งเป้าทำร้ายอย่างรุนแรงต้องยุติลง ไม่เช่นนั้น มีแนวโน้มที่จะคุกคามความพยายามของรัฐบาลที่จะปฏิรูป และเปิดประเทศสู่ประชาคมโลก
หนังสือพิมพ์นิวไลท์ออฟเมียนมาร์ของรัฐบาลรายงานคำแถลงที่ลงนามโดยทำเนียบประธานาธิบดีพม่าว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกำลังถูกจับตามองจากประชาคมโลก.