เอเอฟพี - ซาอุดีอาระเบีย กล่าวหาทางการพม่าประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา เมื่อวันจันทร์ (6 ส.ค.) ว่า พม่าล้างเผ่าพันธุ์มุสลิมโรฮิงญาในภาคตะวันตกของประเทศ สื่อทางการของซาอุดีอาระเบียรายงานวันนี้ (7 ส.ค.)
คำแถลงฉบับหนึ่งของคณะรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ที่สำนักข่าวเอสพีเอของทางการซาอุดีอาระเบีย รายงานระบุว่า “คณะรัฐมนตรีประณามการล้างเผ่าพันธุ์ และการโจมตีที่โหดร้ายทารุณต่อชาวมุสลิมโรฮิงญาในพม่า รวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการบังคับให้ออกจากบ้านเกิดของตัวเอง”
คณะรัฐมนตรี ที่มีสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ทรงนั่งเป็นประธาน เรียกร้องให้ประชาคมโลก ดำเนินการตามความรับผิดชอบด้วยการจัดหาการป้องกันคุ้มครองที่จำเป็น และคุณภาพชีวิตเพื่อชาวมุสลิมในพม่า และป้องกันการสูญเสียชีวิต
การต่อสู่ในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของพม่า ระหว่างชาวพุทธยะไข่ และมุสลิมโรฮิงญา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 80 คน นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 คน เมื่อวันอาทิตย์ (5) เจ้าหน้าที่ของรัฐในนครย่างกุ้ง ระบุ
ความรุนแรงเริ่มต้นขึ้นในเดือน มิ.ย. หลังเกิดเหตุข่มขืน และฆ่าหญิงชาวยะไข่ และเหตุรุมประชาทัณฑ์มุสลิม 10 คน จากกลุ่มชาวพุทธที่โกรธแค้น
เหตุนองเลือดที่เกิดขึ้น บดบังการปฏิรูปที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางของ ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ที่รวมทั้งการปล่อยตัวนักโทษการเมืองหลายร้อยคน และการเลือกตั้งนางอองซานซู จีเข้าสู่รัฐสภา
หน่วยงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอชกล่าวหาว่า กองกำลังของพม่าเปิดฉากโจมตีโรฮิงญา กระทำการข่มขืน และเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งให้โจมตีกัน
ด้านองค์การความร่วมมืออิสลาม หรือโอไอซี เมื่อวันศุกร์ (3) ได้เสนอที่จะส่งคณะเจ้าหน้าที่จากโอไอซีเข้าไปพิสูจน์เหตุสังหารหมู่ชาวมุสลิมโรฮิงยาในพม่า
รัฐบาลพม่ากำหนดให้ชาวโรฮิงญาที่มีอยู่ในประเทศราว 800,000 คนเป็นชาวต่างชาติ ขณะที่ชาวพม่ามองว่า ชาวโรฮิงญาเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ และเป็นศัตรู
การเลือกปฏิบัติที่ยาวนานหลายทศวรรษ ทำให้ชาวโรฮิงญาไร้สัญชาติ ซึ่งสหประชาชาติระบุว่า ชาวโรฮิงญาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่ข่มเหงมากที่สุดในโลก.