เอเอฟพี - สื่อทางการของพม่ายกย่อง นางอองซานซูจี วานนี้ (4 มิ.ย.) ว่า เป็นความหวังของพม่า และเป็นผู้นำร่วมกับประธานาธิบดี พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมมือกัน นับเป็นการยกย่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักกับนางอองซานซูจี สัญลักษณ์ประชาธิปไตยของพม่า
ในรายงานที่มีหัวข้อว่า “แด่ผู้นำที่เป็นความหวังของพม่า” บนหนังสือพิมพ์นิวไลท์ ออฟ เมียนมาร์ ระบุว่า อนาคตของประเทศที่กำลังปฏิรูปไปอย่างรวดเร็ว ขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันของนางอองซานซูจี และประธานาธิบดีเต็งเส่ง
“เป็นที่ตระหนักว่า อนาคตของประชาชนขึ้นอยู่กับผู้นำทั้งสอง ประธานาธิบดี และดอว์อองซานซูจี พวกเขาควรร่วมมือกันบนพื้นฐานของความเชื่อใจ และความเข้าใจซึ่งกันและกัน” รายงานระบุ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทั้งคู่ไม่ขัดขวางความเจริญทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพของประเทศและละทิ้งความยึดมั่น และความเห็นแก่ตัว
นางอองซานซูจีเริ่มมีพื้นที่ในหน้าหนังสือพิมพ์มากขึ้น นับตั้งแต่ถูกปล่อยตัวออกจากการควบคุมตัวภายในบ้านพักไม่กี่วันหลังการเลือกตั้งในปี 2553 เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพรายนี้ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าทำหน้าที่ในสภาจากการเลือกตั้งซ่อมเมื่อเดือน เม.ย. ได้เดินทางกลับพม่าในวันอาทิตย์ (3 มิ.ย.) หลังเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี ด้วยการเดินทางเยือนไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกในกรุงเทพฯ และเยือนชุมชนชาวพม่าในไทย
ก่อนหน้านี้ นางอองซานซูจีปฏิเสธที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ด้วยเกรงว่ารัฐบาลทหารพม่าในขณะนั้น จะไม่อนุญาตให้เธอกลับเข้ามาในประเทศได้อีก การตัดสินใจเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งนี้ถูกมองว่า เป็นสัญญาณสำคัญของความมั่นใจในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในพม่า ภายใต้รัฐบาลกึ่งพลเรือนชุดใหม่ของประเทศ
ในการเข้าร่วมการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกในกรุงเทพฯ นางอองซานซูจีกล่าวว่า มีเพียงแค่กฎหมายที่สามารถคงความคืบหน้าทางการเมือง และส่งเสริมการลงทุนที่โปร่งใส
ทั้งนี้ ผู้เขียนบทความในหนังสือพิมพ์นิวไลท์ ออฟ เมียนมาร์ระบุว่า รู้สึกโล่งใจที่นางอองซานซูจีมุ่งเน้นการสร้างงานในภาคอุตสาหกรรมในการกล่าวสุนทรพจน์ของนางบนเวทีเศรษฐกิจโลกว่าด้วยเอเชียตะวันออก ที่เน้นความสำคัญของรัฐมนตรีพลังงานที่เข้าร่วมการประชุมแทนประธานาธิบดีเต็งเส่ง ขณะเดียวกัน บทความยังได้ยกประเด็นความกังวลถึงความคิดเห็นของนางอองซานซูจีเกี่ยวกับระบบกฎหมายของพม่า และการตักเตือนของนางต่อผู้เข้าร่วมการประชุมว่า ไม่ควรมองแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับความก้าวหน้าของประเทศที่อาจจะปิดกั้นผลประโยชน์
อย่างไรก็ตาม บทความกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายของพม่าเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อนางอองซานซูจี และประธานาธิบดีทำงานร่วมกัน ทำให้ประชาชนรู้สึกมีความหวัง ที่นับเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตในประวัติศาสตร์ของประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ก็มีความกังวลว่าโอกาสทองเช่นนี้จะหลุดหายไป.