ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ปัจจุบันถ้าหากนึกถึงภาพนู้ดภาพโป๊ทั้งหลาย คนทั่วไปก็จะนึกถึงอินเทอร์เน็ต แต่สำหรับคนโบราณเล่า จะไปหาดูภาพพวกนี้ได้ที่ไหน และเหล่าศิลปินนู้ดรุ่นลายครามมีวิธีแสดงฝีไม้ลายมือกันอย่างไร ในยุคที่ยังไม่มีกล้องดิจิตอล 22 ล้านพิกเซลเช่นในวันนี้ นักวิทยาศาสตร์เวียดนามได้คำตอบแล้ว
เมื่อปี 2543 นักวิทยาศาสตร์ในเวียดนามกลุ่มหนึ่งได้เข้าสู่ศตวรรษใหม่ด้วยความทึ่งหลังจากมีการผู้งมถ้วยชามเซรามิคจากใต้ทะเลบริเวณเกาะจ่าม (Chàm) จ.กว๋าง (Quảng Nam) ในภาคกลาง และ ผลการตรวจสอบในภายหลังได้ข้อสรุปว่า เป็นของจากคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงวันนี้ก็อายุ 600 ปีแล้ว
เทียบกับในประเทศไทยก็สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ซึ่งเป็นช่วงหลังยุคเฟื่องฟูของสังคมโลก และช่วงเดียวกันจีนได้หันมาผลิตถ้วยโถโอชามลายสีครามขาวอีกครั้งหนึ่ง และนั่นคือ ยุคสมัยของลายครามที่สื่อเวียดนามกำลังพูดถึง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นใหญ่
ในปีนั้นชาวประมงในท้องถิ่นพบซากเรืออับปางและงมหม้อไหจานชามขึ้นมานับร้อยชิ้น แต่ก็มีอยู่ 3 ชิ้นที่ทำให้ทุกฝ่ายตะลึงงัน ก่อนจะกลายมาเป็นความขบขัน เพราะจิตกรเอกยุคลายครามได้บรรจงแต้มแต่งฉากเลิฟซีนลงบนจานข้าว พร้อมแทรกมุกขำๆ เอาไว้อย่างคาดไม่ถึง
ถึงแม้ฝีมือจะไม่ประณีตมากมาย แต่จิตรกรเอกก็เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน และกลายเป็นความขบขนขันข้ามศตวรรษ แถมยังทิ้งเป็นปริศนาเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ขบคิด
ตลอดหลายปีมานี้นักวิทยาศาสตร์ นักศิลปะและผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงได้พยายามช่วยกันตีความ “เลิฟซีน” (ภาพที่ 1) ก้นจาน ด้วยความเห็นที่แตกต่างกันหลากหลาย ช่วงปีแรกๆ หลายคนเชื่อว่าเป็นภาพของพวกรักร่วมเพศ ที่กำลังทำ “ช้างประสานงา” ทำกันโจ่งครึ่มกลางแจ้ง ใต้แสงตะวัน
แต่หลายปีต่อมามีหลายเสียงได้ลงความเห็นว่า เป็นท่วงท่าที่ “ผิดธรรมชาติ” ระหว่างชายกับชายหากเป็นเพราะว่าฝีมือของจิตกรที่ไม่ได้มีความประณีตมากมายอะไร จึงทำให้โลกปัจจุบันสับสน โดยผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจิตกรใหญ่พยายามจะวาดภาพของหนุ่มกับสาวในบทพิสดาร
.
2
เจ้าตำรับรายนี้ได้วาดรูปโคมไฟเอาไว้มุมหนึ่งเป็นสัญลักษณ์บางบอกว่า กิจกรรมอันน่าทึ่งนี้เกิดขึ้นในห้องหับมิดชิด ไม่ใช่กลางแจ้งภายใต้แสงแดดแจ่ม อย่างที่เข้าใจกันมาก่อน หนังสือพิมพ์ออนไลน์เหงื่อยดัวติน (Người Đưa Tin) รายงานในวันอังคาร 31 ม.ค.นี้
“สีหน้าของฝ่ายชายแสดงให้เห็นความปรารถนาอันร้อนแรงอันสุดที่จะหักห้าม อันเป็นความสามารถที่จะมองข้ามมิได้ของผู้เขียน” เหงื่อยดัวตินอ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง
ในภาพเขียนสีลายครามสุดพิสดารนี้ยังมีนักถ้ำมองคนหนึ่งกำลังยิ้มย่องกับการได้เป็นประจักษ์พยานการเริงร่าของหนุ่มสาว อันเป็นอารมณ์ขันอันเหลือร้ายของมหาจิตกรอีกด้วย
นักถ้ำมองยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของภาพ สะท้อนความพิเรนทร์ของผู้คนในยุค 800 ปีก่อน หนังสือพิมพ์ข่าวกฎหมายกับชีวิตกล่าว และนั่นคือ คำเฉลยปริศนาที่เป็นโจทก์ใหญ่ข้ามทศวรรต
ภาพที่ 2 เป็นภาพที่ผู้เชี่ยวชาญตั้งชื่อว่า “การอาบน้ำครั้งแรก” ซึ่งจิตรกรเอกได้สะท้อนอารมณ์ขันอันล้นเหลือ ให้สามีหนุ่มหอบผ้าหอบผ่อนไปให้ภรรยาสาวข้าวใหม่ปลามันขณะนั่งยองๆ อยู่ข้างตุ่มอาบน้ำกลางแจ้งในสภาพเปลือยล่อนจ้อน หลังจากฝ่ายชายได้พบว่ามีนักถ้ำมองตากุ้งยิง หลบๆ แอบๆ อยู่หลังต้นไม้ไม่ไกลออกไป
พิสดารพิลึกกึกกือยิ่งกว่านั้นก็คือ มหาจิตกรได้เน้นให้เห็นว่านักถ้ำมองวิตถารรายนี้เป็นเพศหญิง ทีอาจจะมีโรมานซ์กับภรรยาแสนสวยของเขามาก่อน
ทำไมต้องมีการ “อาบน้ำครั้งแรก” และ ต้องอาบกันกลางแจ้งโจ่งครึ่มถึงขนาดนั้น?
.
3
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าขอให้นึกถึงฤดูหนาวในเวียดนามที่อากาศหนาวเย็นจัด อันเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนในยุคลายครามยึดปฏิบัติคำขวัญ “เจ็ดวันอาบน้ำหนเดียว” และ เมื่อแมกไม้เริ่มผลิใบ ดอกไม้เริ่มเบ่งบานก็ถึงเวลาที่จะต้องอาบน้ำฟอกผิวกายให้หอมสดชื่นอีกครั้ง อันเป็นเรื่องที่สามีหนุ่มครุ่นคำนึงตลอดฤดูหนาวที่เพิ่งจะผ่านไป
ส่วนในภาพที่ 3 ลายครามชิ้นนี้เน้นโชว์เรือนอันสมส่วนของหญิงสาวที่ดูสุขภาพแข็งแรงคนหนึ่ง ในชุดแพรพรรณที่ทำให้ที่เข้าใจกันว่า เป็นสาวราชสำนักในมโนภาพของจิตกร
เคยมีการประชุมเพื่อถกเถียงความหมายของภาพเขียนสี ในเครื่องลายครามทั้ง 3 ชิ้นมาหลายครั้ง โดยระดมนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญตลอดจนจิตรกรในแขนงนี้มาร่วมกันขบคิด ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะยังตีปัญหาไม่แตก แต่ทุกคนเห็นพ้องที่จะยกย่องนักวาดลายครามนิรนามผู้นี้ให้เป็น “ครู” แห่งศตวรรษที่ 15
จิตกรเอกได้พยายามสื่อสารกับคนรุ่นหลังผ่านธรรมชาติ ผ่านสีหน้าของคนในภาพวาดของเขาที่ดูมีชีวิตชีวาเป็นธรรมชาติ ซึ่งต่างไปจากสีหน้าของนางแบบนายแบบในยุคปัจจุบันที่ไม่เป็นธรรมชาติ และ เต็มไปด้วยการปั้นแต่ง
เครื่องดินเผาสีครามทั้งสามชิ้นถูกตีราคาหลายสิบล้านดอลลาร์ แต่ชาวประมงผู้เป็นเจ้าของยินดีมอบให้ไปวางแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ จ.กว๋างนาม เพื่อให้ลูกหลานได้ไปแวะชมเพื่อศึกษา
“ของดี” ทั้ง 3 ชิ้นยังถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือ “เครื่องปั้นดินเผาจากเรืออับปางในเวียดนาม” ที่เขียนโดย เหวียนดี่งเจี๋ยน (Nguyễn Đình Chiến) กับ ฟัมก๊วกกวน (Phạm Quốc Quân) อีกด้วย สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนามกล่าว.