กรุงเทพฯ (รอยเตอร์)--ประชาคมระหว่างประเทศมีทางเลือกน้อยลงสำหรับปัญหาพม่า หลังจากเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติประสบความล้มเหลวสัปดาห์ที่แล้วในการเจรจาชักชวนผู้นำคณะปกครองทหาร ในการสร้างความปรองดองแห่งชาติ
นายบันคีมุนยอมเสี่ยงต่อการเสื่อมเสียชื่อเสียง ยอมรับคำเชิญของผู้นำทหารไปเยือนประเทศที่โดดเดี่ยวตัวเองจากประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า เลขาฯ ยูเอ็นกลับไปด้วยสองมือเปล่า
คณะปกครองทหารได้ปฏิเสธคำร้องขอของนายบัน ที่ต้องการพบหารือกับนางอองซานซูจี ผู้นำฝ่านค้านที่กำลังถูกทางการทหารดำเนินคดี ซึ่งดูเหมือนว่าเผด็จการในประเทศนี้ทนทางต่อกระแสการวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าครั้งไหนๆ และยังรู้สึกสบายยิ่งขึ้นอีกด้วยในการอยู่อย่างโดดเดี่ยว
"ไพ่เลขาฯ ยูเอ็นถูกทิ้งออกไปแล้ว (ขณะนี้) นายบันเป็นฝ่ายแพ้ แต่เราก็ไม่ได้แปลกใจอะไร" นายดีเร็ก ทอนกิน (Derect Tonkin) อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ ปัจจุบันบยุคคลผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์สถานการณ์ในพม่า
"ผมไม่ทราบเช่นกันว่าประชาคมระหว่างประเทศจะทำอย่างไร นับตั้งแต่นี้ต่อไป" นักวิเคราะห์คนเดียวกันกล่าว
ปัญหาพม่ากำลังจะถูกหยิบขึ้นหารือในที่ประชุมสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ที่มีกำหนดขึ้นใน จ.ภูเก็ตของไทยเดือนนี้ ซึ่งนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ จะเข้าร่วมด้วย
อาเซียนได้รับพม่าเข้าเป็นสมาชิกโดยหวังจะช่วยหาทางให้คณะปกครองทหารยอมรับในวิถีประชาธิปไตย และแม้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้อาเซียนจะได้ละทิ้งธรรมเนียมปฏิบัติเดิมที่ยึดถือมาและเริ่มวิพากษณ์วิจารณ์พม่า แต่ความล้มเหลวของเลขาธิการใหญ่ยูเอ็น ก็อาจจะถือเป็นความล้มเหลวของอาเซียนเช่นเดียวกัน
คาดว่ากำลังจะมีการออกคำแถลงอีกครั้งหนึ่งเรียกร้องให้มีการปล่อยนางอองซานซูจีกับนักโทษการเมือง แต่ก็จะเป็นเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาคือ คำเรียกร้องไมใด้รับการเคารพ และไม่มีการปฏิบัติตาม
นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า โลกกำลังเตรียมตัวแสดงปฏิกิริยาต่อพม่า "อย่างจริงจัง" ยิ่งขึ้น
แต่การปฏิบัติต่อผู้นำสหประชาชาติ รวมทั้งทูตพิเศษของยูเอ็นก่อนหน้านั้น ได้แสดงให้เห็นว่าการทูตประสบความล้มเหลว และวิธีการที่แข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิมย่อมจำเป็น
**กำลังพูดกับนายพล-ไม่ใช่นักการทูต**
"ทุกคนล้วนได้พยายามทางการทูต แต่พวกนายพลที่เรากำลังติดพันด้วยนี้ไม่ใช่นักการทูต" นายมาร์ก ฟาร์เมเนอร์ (Mark Farmaner) แห่งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อพม่า (Burma Campaign) ในประเทศอังกฤษกล่าว
"พวกนายพลพวกนั้นทนทานต่อเสียงวิจารณ์ แต่จะไม่ทนต่อแรงกดดัน พวกเขาหวาดกลัวกับแรงกดดันจริงๆ และ พวกนี้มักจะคิดว่า ไม่มีใครสามารถแตะต้องพวกเขาได้"
ยังไม่มีกำหนดการใดในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในขณะนี้ แต่เวทีดังกล่าวก็เสี่ยงต่อการใช้อำนาจยับยั้งโดยจีนซึ่งเป็นพันธมิตรใหญ่ที่สุดและใกล้ชิดที่สุดกับระบอบทหารในพม่า รวมทั้งรัสเซียซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่มีอำนาจในการใช้สิทธิ์วีโต้ ซึ่งสามารถขัดขวางขบวนการต่างๆได้
นักวิเคราะห์บางรายเสนอว่า สหประชาชาติควรจะทดสอบพลังของระบอบทหาร โดยการฟ้องร้องทางกฎหมายต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้วยการตั้งคณะกรรกมการสอบสวนเรื่องนี้ขึ้นมา หรือนำเข้าสู่ศาลระหว่างประเทศ (ในกรุงเฮก)
**จีนถือกุญแจและสำคัญยิ่งขึ้นทุกวัน**
สายตาหลายคู่มองไปที่จีน ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ได้แสดเงความยืดหยุ่นทางการทูต ด้วยการสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ที่กำลังพัฒนาอวุธนิวเคลียร์
ไม่ต่างกับในเกาหลีเหนือ จีนมีความห่วงใยต่อความไร้เสถียรภาพในพม่า และอาจจะเต็มใจร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ ถึงแม้จีนจะมีความห่วงใยอย่างมากต่อผลประโยชน์ทางการค้ามหาศาลกับพม่าก็ตาม
"พวกนายพลรู้สึกว่าสามารถรอดพพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างได้เนื่องจากมีจีนคุ้มหัวอยู่ แต่นั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป" นางเด็บบี้ สต๊อดดาร์ด (Debbie Stoddard) แห่งองค์การเครือข่ายทางเลือกอาเซียนต่อปัญหาพม่า (ASEAN Network on Burma)
"มันถึงเวลาที่จะต้องมีข้อมติของสหประชาชาติออกมาสักอย่าง และ ถึงเวลาที่นายบันจะต้องเอาจริงเอาจังต่อพม่า ระบอบทหารเกรงกลัวต่อข้อมติของคณะพมนตรีความมั่นคง แต่ถ้าหากไม่มีการดำเนินการ พวกนายพลก็จะกระทำในสิ่งที่พวกเขาอยากจะทำต่อไป" นางสต็อดดาร์ดกล่าว
**สหรัฐฯ เก้ๆ กังๆในปัญหาพม่า**
เมื่อนายบารัก โอบามา ขึ้นดำรงตำแหน่งประธนาธิบดีสหรัฐฯ ฝ่ายนโยบายการต่าสงประเทศได้แสดงท่าทียืดหยุ่นยิ่งขึ้นในปัญหาพม่า โดยประกาศจะเข้าร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย หาทางต่อรองกับระบอบปกครองประเทศนี้ แต่เหตุการณ์การจับกุมนางอองซานซูจี ได้ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องทบทวนท่าทีใหม่
ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่รับผิดชอบกิจการเอเชียแปซิฟิกกล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า การจับกุมดำเนินคดีนางซูจี ได้ทำให้สหรัฐฯ ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องดำเนินการแข็งกร้าวยิ่งขึ้น โดยรวมกับกลุ่มอาเซียน จีนและอินเดีย เพื่อหาทางกดดันระบอบทหารพม่าให้ปฏิรูปประชาธิปไตย
สหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปได้รวมตัวกันคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลทหารพม่าในฃช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และอียูต่างประเทศต่ออายุการคว่ำบาตรต่อไปอีก 1 ปี หลังการจุบกุมนางซูจีครั้งล่าสวุด ขณะที่อียูประกาศจะหาทางกระชับการคว้ำบาตรให้หนักยิ่งขึ้นไปอีก
สหภาพยุโรปได้หยิบปัญหาพม่าขึ้นประชุมหารือกับกลุ่มอาเซียนในกรุงฮานอยเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็ทำได้เพียงแค่การออกคำแถลงร่วมเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองกับผู้นำฝ่ายค้านเท่านั้น ยังไม่มีมาตรการอื่นใดออกมาอีก.