ผู้จัดการรายวัน — สื่อของทางการเวียดนามได้ออกวิจารณ์การดับเพลิงที่หย่อนประสิทธิภาพ การป้องกันเพลิงหละหลวม อุปกรณ์ดับเพลิงขาดความเอาใจใส่ และ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงขาดประสบการณ์ ทำให้ไฟลุกลามเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
การออกวิจารณ์ดังกล่าวมีขึ้นขณะที่ทางการประกาศปิดอาคารผู้โดยสารเที่ยวบินภายในประเทศของท่าอากาศยานเติ่นเซินเญิต (Tan Son Nhat) เมื่อวันจันทร์ (27 ต.ค.) สร้างความโกลาหลให้แก่เที่ยวบินและผู้โดยสาร เนื่องจากต้องไปใช้สถานที่ร่วมกับเที่ยวบินระหว่างประเทศ
เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นในอาคารผู้โดยสารในประเทศ ท่าอากาศยานเติ่นเซินเญิต (Tan Son Nhat) นครโฮจิมินห์ก่อนเวลา 3 นาฬิกาเพียงเล็กน้อยในวันจันทร์ (27 ต.ค.) นี้ ทำให้เที่ยวบินจำนวนมากต้องเลื่อนเวลาออกเดินทาง
รถดับเพลิงกว่า 30 คันได้รุดไปยังที่เกิดเหตุ และใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงก่อนจะสามารถควบคุมเพลิงลงได้
แต่หัวหน้าตำรวจดับเพลิง กล่าวว่า รถดับเพลิงคันแรกที่ไปถึงสถานที่เกิดเหตุไม่ได้ลงมือทำอะไร แม้ว่าจะได้รับการฝึกซ้อมจนได้รับมาตรฐานสากลก็ตาม แต่ขาดประสบการณ์ ไม่แน่ใจจะทำอะไรก่อนหลังเพื่อระงับเหตุ ปล่อยให้เพลิงลุกลามต่อไปอย่างรวดเร็ว
ยังไม่มีการเปิดเผยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอาคารผู้โดยสารในประเทศ แต่ภาพที่เผยแพร่ทางโทรทัศน์ได้แสดงให้เห็นหลังคาอาคารเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ เนื่องจากจากถูกไฟไหม้ทะลุ
เจ้าหน้าที่ผจญเพลิงได้พบถังแก๊สขนาด 45 กิโลกรัม จำนวน 12 ถังในร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้กับร้านที่ถูกไฟไหม้ ขณะที่ท่อดับเพลิงภายในอาคารไม่มีน้ำ นายเลเจิ่นปื๋อ (Le Tam Buu) รองผู้บังคับการกองตำรวจดับเพลิงนครโฮจิมินห์กล่าวในการแถลงข่าวหลังดับไฟลงได้ไม่กี่ชั่วโมง
เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกลุ่มหลังที่ไปถึงได้นำถังแก๊สหุงต้มขนาดใหญ่ออกไปจากที่เกิดเหตุ ทั้งๆ ที่ควรจะถูกนำออกไปก่อนหน้านี้ เพื่อป้องกันการระเบิด ซึ่งจะนำอัตรายอย่างใหญ่หลวงสู่พนักงานดับเพลิงเอง และสร้างความเสียหายหนักหน่วงยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น เมื่อพนักงานดับเพลิงไปถึงที่เกิดเหตุ ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดประจำการคอยทำหน้าที่ทำทางไปยังบริเวณต้นเพลิง
นายเจิ่นดว่านโมว (Tran Doan Mau) รองผู้อำนวยการการท่าอากาศยานภาคใต้ แถลงในเวลาต่อมา ว่า ไฟได้ลุกไหม้ขึ้นจากร้านอาหารในบริเวณห้องโถงสำหรับผู้โดยสารขาออกด้านสายการบินในประเทศ
เจ้าหน้าที่ผู้นี้ ยอมรับว่า มีการติดตั้งอุปกรณ์เตือนภัยเฉพาะชั้นล่างของอาคารเท่านั้น แต่ที่นั่นไม่มีอุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติในยามที่เกิดเพลิงไหม้ฉุกเฉิน
ผู้บริการของสายการบินเวียดนามกล่าวว่าจนถึงเวลา 2 นาฬิกา ก่อนเพลิงไหม้ มีเครื่องบินบินขึ้นจากท่าอากาศยานนครโฮจิมินห์รวม 30 เที่ยว เที่ยวบินอื่นๆ ต่อมาได้ถูกเลื่อนไปจนถึงเวลาเช้าตรู่ และหลายเที่ยวเกิดความล่าช้า
สายการบินเจ็ทสตาร์แปซิฟิก (JetStar Pacific) ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำแห่งเดียวของประเทศ กล่าวว่า ไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากเหตุเพลิงไหม้ เพราะมีเที่ยวบินเพียง 5 เที่ยวที่เสียเวลา
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวของทางการ กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เกิดความโกลาหลพอสมควร เวลาประมาณ 6 นาฬิกาผู้โดยสารเที่ยวบินในประเทศทั้งหมดได้ถูกขนย้ายไปยังท่าอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ที่อยู่ติดกัน
จนกระทั่งเวลา 09.00 น.ท่าอากาศยานใหญ่ที่สุดในภาคใต้แห่งนี้ จึงสามารถเริ่มให้บริการเที่ยวบินต่างๆ ได้อีกครั้งหนึ่ง
นายเจิ่นถวิมิง (Tran Thuy Minh) ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานภาคใต้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ และ เจ้าหน้าที่กำลังประเมินความเสียหายต่างๆ
นางเหวียนถิแองด๋าว (Nguyen Thi Anh Dao) เจ้าหน้าที่การท่าอากาศยาน กล่าวว่า ทางการได้สั่งปิดอาคารผู้โดยสารในประเทศเป็นเวลา 24 ชั่วโมงตามกฎหมายการบินพลเรือนเวียดนาม และ ทุกเที่ยวบินจะไปใช้ท่าอากาศยานระหว่างประเทศแทนเป็นการชั่วคราว
ตามรายงานในชั้นต้นเจ้าหน้าที่ เชื่อว่า ไฟฟ้าลัดวงจรเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ แต่กำลังมีการสอบสวนหาสาเหตุแท้จริงที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้
ท่าอากาศยานโฮจิมินห์เป็นศูนย์กลางการบินใหญ่ที่สุดของประเทศ ไม่สามารถขยายได้อีก เนื่องจากสร้างขึ้นในย่านตัวเมืองและในปัจจุบันรายล้อมด้วยบ้านเรือนของราษฎรและชุมชนต่างๆ
เดือน ก.ย.2550 ได้มีการเปิดใช้อาคารผู้โดยสารแห่งใหม่หลังการก่อสร้างดำเนินไปเป็นเวลา 3 ปี ทำให้อาคารหลังเก่าถูกใช้สำหรับการบินในประเทศเท่านั้น
อาคารหลังใหม่มีพื้นที่รวมกันกว่า 190,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 8-10 ล้านคน และการก่อสร้างเพิ่มเติมเฟสที่ 2 กำลังดำเนินต่อไป เมื่อแล้วเสร็จในปี 2553 จะทำให้มีพื้นที่กว้างขวางยิ่งขึ้น สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มเป็นปีละ 15 ล้านคน ทั้งนี้เป็นรายงานของสำนักข่าวเวียดนาม (วีเอ็นเอ)