เอเอฟพี-- นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในกัมพูชากล่าวว่าคุณภาพของการเรียนการสอนที่ย่ำแย่ได้ทำลายโอกาสของพวกเธอ ซึ่งรวมทั้งโอกาสที่จะมีงานทำกับโอกาสที่จะได้รับใช้ประเทศและสังคมด้วย
สำหรับชุมสะวอน (Chhum Savorn) ยังอีกตั้ง 2 ปีกว่าจะจบ แต่ก็รู้สึกสิ้นหวังเสียแล้ว นักศึกษาสาววัย 21 เรียนวิชาเอกการเงิน โดยหวังว่าจะมีโอกาสได้ช่วยพัฒนาประเทศซึ่งยังยากจนที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่เธอเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ร่ำเรียนมานั้นไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง ในชั้นเรียนเต็มไปด้วยเพื่อนๆ ที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน โกงข้อสอบและสอนโดยอาจารย์ที่มีคุณวุฒิไม่ถึง
"การเรียนที่คุณภาพต่ำของหนูหมายถึงว่าหนูจะไม่สามารถช่วยชาติได้และหนูยังจะหางานทำที่มีรายได้พอจะช่วยเหลือครอบครัวได้ยากอีกด้วย" นักศึกษาสาวกล่าว
มีนักศึกษาจำนวนมากขึ้นทุกทีๆ ที่เริ่มจะพบว่าตัวเองจมอยู่ในระบบการศึกษาที่ย่ำแย่เพราะระบบการบริหารจัดการกับการสอนที่อ่อนด้อย เนื่องจากมุ่งการหากำไรมากกว่าการเรียนการสอน
ผลที่ออกมาก็คือมีนักศึกษาเพียงน้อยนิดที่เรียนสำเร็จไปก่อนหน้านี้ที่สามารถหางานทำได้ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงยิ่งสำหกรับประเทศที่กำลังพยายามก่อร่างสร้างตัวขึ้นใหม่หลังจากสงครามกลางเมืองที่ทำลายล้างมายาวนานหลายทศวรรษ
ระบอบเขมรแดงที่ครองอำนาจในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ได้ทำลายระบบโรงเรียนลงราบคาบ มีผู้เสียชีวิตล้มตายไปในช่วงนั้นเกือบ 2 ล้านคน รวมทั้งปัญญาชนของประเทศจำนวนมาก ขณะที่พวกคอมมิวนิสต์ที่นิยมลัทธิเหมาเจ๋อตงขับไล่ผู้คนออกจากตัวเมืองลงสู่การผลิตในเขตชนบท
แต่ในขณะที่กำลังพยายามก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่และเศรษฐกิจกำลังเติบโต ก็ได้พบว่าประเทศนี้เต็มไปด้วยการศึกษาที่มีคุณภาพต่ำ
ในปี ค.ศ.2000 กัมพูชามีสถานศึกษาที่สูงกว่าระดับมัธยมศึกษาอยู่เพียง 10 แห่ง ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐบาลและของเอกชนถึง 70 แห่ง
นายมากงอย (Mak Ngoy) รองอธิบดีกรมการศึกษาระดับสูง กระทรวงศึกษาธิการ เยาวชนและกีฬา กล่าวว่า โครงการเรียนที่สถาบันต่างๆ เสนอนั้นล้วนแต่ชวนให้หดหู่และผิดหวัง
"เรายังไม่พอใจกับระดับคุณภาพทางการศึกษาของเราในทุกวันนี้" นายงอยกล่าว
"ผมคิดว่าการที่มีสถาบันการศึกษาชั้นสูงเพิ่มขึ้นนั้นเป็นสัญญาณที่ดี แต่เรากำลังต่อสู้กับการทำให้มีคุณภาพที่เข้มแข็งมากขึ้น" นายงอยกล่าว
แต่ในขณะเดียวกันบรรดาศาสตราจารและอาจารย์ผู้สอนก็บ่นว่าลูกศิษย์ไม่ค่อยตั้งใจและไม่ทำการบ้าน มีการโกงอย่างกว้างขวางในการสอบ
นายลาวชิวเอียว (Lav Chhiv Eav) อธิการบดีมหาวิทยาลัยหลวงแห่งกรุงพนมเปญ (Royal University of Phnom Penh) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐใหญ่ที่สุดและเก่าแก่มากที่สุดกล่าวว่า นักศึกษาจำนวนไม่น้อยยินดีที่จะจ่ายค่าเล่าเรียน แต่ไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาที่ดี
"นักศึกษาหลายคนกลัวที่จะต้องเรียนหนักและคิดว่าสิ่งที่ตนเองต้องการก็เพียงใบปริญญาบัตรไม่ใช่คุณภาพและผลสุดท้ายก็คือการไม่มีงานทำ" นายเอียวกล่าว
มหาวิทยาลัยในกรุงพนมเปญส่วนใหญ่จะเป็นขนาดเล็กๆ มีเงินทุนที่จำกัด สถานที่เรียนไม่ดีและไม่ค่อยมีระเบียบวินัย
อย่างไรก็ตามกระทรวงศึกษาธิการฯ ได้สั่งปิดสถาบันการศึกษาไปแล้วรวม 4 แห่ง ทั้งหมดเรียกตัวเองเป็น "มหาวิทยาลัย" แต่ให้ความรู้แก่นักศึกษาเพียงน้อยนิด
เมื่อห้าปีที่แล้วได้มีความพยายามปรับปรุงแก้ไขสถาบันการศึกษาชั้นสูงของประเทศ โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลระดับชาติขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อกำกับให้สถาบันการศึกษาต่างๆ ต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติความต้องการพื้นฐาน แต่ธนาคารโลกได้หยุดการสนับสนุนเมื่อพบอย่างแน่ชัดว่าองค์กรนี้ไม่มีอิสระและยังอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ
เมื่อทางการเข้าไปกำกับดูแลการศึกษาได้เพียงน้อยนิด คุณภาพการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยแห่งต่างๆ ก็อ่อนลงเรื่อยๆ ขณะที่จำนวนนักศึกษาที่แสวงหาใบปริญญาบัตรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ตามตัวเลขของกระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันมีนักศึกษากว่า 135,000 คนลงทะเบียนเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาขั้นสูง เทียบกับ 91,000 คนเมื่อปีที่แล้วและประมาณ 25,000 คนเมื่อหลายปีก่อน
ตามตัวเลขของสถาบันเศรษฐกิจกัมพูชา (Economic Institute of Cambodia) นักศึกษาที่เรียนจบไปเมื่อเร็วๆ นี้มีเพียง 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่สามารถหางานทำได้ ในขณะที่ทั้งประเทศยังตกอยู่ภายใต้ความยากจนข้นแค้น แม้ว่าตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจจะสูงเป็น 2 หลักก็ตาม
นายมา สุภาพ (Ma Sopheap) เจ้าหน้าที่ธนาคารพัฒนาเอเชียกล่าวว่า กัมพูชาจะมีปัญหาในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ หากไม่เริ่มผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพเสียแต่บัดนี้
"ถ้าหากการศึกษาที่มีคุณภาพต่ำยังคงดำเนินต่อไปก็จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ.. แล้วก็คงไม่มีทางที่จะขจัดความยากจนออกไปได้" นายสุภาพกล่าว
ตามตัวเลขเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว ในกัมพูชามีบัณฑิตสว่างงานนับแสนคนหลายแสนคนขณะที่สถาบันต่างๆ ผลิตออกมาจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี และธนาคารโลกกล่าวว่าประเทศนี้จะต้องสร้างงานปีละ 300,000 ตำแหน่ง จึงจะสามารถรองรับตลาดงานที่ใหญ่โตนี้ได้
ในแต่ละปีมีเยาวชนกัมพูชานับแสนๆ คนจบการศึกษาในหลากหลายแขนงวิชา ตั้งแต่กฎหมาย การบริหารจัดการ ไปจนถึงการโทรคมนาคมและภาษาต่างประเทศ แต่ก็ไม่ค่อยได้รับการชายตามองมากนัก เนื่องจากคุณภาพของมหาวิทยาลัยในประเทศนี้มีตั้งแต่ดีที่สุดจนถึงแย่ที่สุด
ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า มหาวิทยาลัยบางแห่งไม่ต่างอะไรกับ "โรงงานพิมพ์ปริญญาบัตร" ขณะที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องจ่ายมหาศาล
ในช่วงปี 2539-2549 กัมพูชามีประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้นราว 78% ในปัจจุบันกว่าครึ่งหนึ่งของประชาชากรทั้งประเทศมีอายุต่ำว่า 25 ปี อัตรานี้นับว่าสูงมากหากเทียบกับในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนทั่วไปที่เฉลี่ยเพียง 6% ทั้งนี้เป็นตัวเลขขององค์การแรงงานสากล.