"อาหารยุคอวกาศ" ช่วยชีวิตพม่านับแสน

ผู้จัดการออนไลน์- พลัมพีนัท (Plumpy'nut) และ BP-5 เป็นอาหารที่ไม่สามารถหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป แต่อาหารยุคอวกาศนี้ (space-age foods) ได้กลายเป็นอาวุธชิ้นเยี่ยมในการต่อสู่กับความหิวโหยโดยเฉพาะในช่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ เช่นพายุนาร์กิสพัดถล่มในพม่า

อาหารยุคอวกาศสามารถขนย้ายได้อย่างสะดวกและยังพร้อมรับประทานได้ทันที รวมทั้งยังสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าอาหารทั่วไป ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีในการนำไปช่วยเหลือผู้ที่กำลังเผชิญกับความหิวโหยจากเหตุการณ์พายุพัดถล่มในพม่า ที่มีเด็กเป็นจำนวนมากที่กำลังป่วยจากภาวะการขาดแคลนอาหาร

เด็กๆ ดูท่าทางที่จะชอบเจ้าอาหารอวกาศนี้เสียด้วย

"อาหารอวกาศนี้มีคุณสมบัติที่เหมือนกับยาทั่วไป" นายบรูซ โคกิล (Bruce Cogill) ผู้ประสานงานด้านโภชนาการของโลกซึ่งได้รับการสนุบสนุนจากกองทุนเพื่อเด็กขององค์การสหประชาชาติ หรือ UNICEF กล่าว

"นี่เป็นผลิตภัณฑ์ชั้นสูง เมื่อไม่สามารถนำไปยังเขตภัยพิบัติได้ เด็กๆ ก็จะได้กินแต่ข้าวต้ม" สำนักข่าวเอเอฟพีอ้างคำกล่าวของนายโคกิล

อาหาร BP-5 เป็นที่รู้จักกันดีในรูปของขนมปังอบกรอบที่ให้พลังงานสูง ซึ่งเต็มไปด้วยสารอาหารและมักจะถูกนำไปใช้เมื่อในกรณีที่เกิดภาวะการขาดอาหารในระดับปานกลาง

ส่วน Plumpy'nut คิดค้นขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีลักษณะเหมือนแท่งขนมอบแห้งรสเนยถั่ว (Peanut Butter) ห่อด้วยกระดาษฟอยล์ วัตถุประสงค์การคิดค้นนี้ก็เพื่อนำไปใช้ในกรณีที่เกิดภาวะการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง

อาหารทั้ง 2 ชนิดนี้ได้ช่วยแก้ไขปัญหาที่มีมานาน คือ ทำอย่างไรที่จะสามารถช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญกับความหิวโหยมีชีวิตอยู่ต่อได้

องค์กรความช่วยเหลือต่างๆ กล่าวว่า Plumpy'nut สามารถช่วยให้เด็กเพิ่มน้ำหนักได้มากถึงสัปดาห์ละ 2 กิโลกรัมซึ่งอาหารยุคอวกาศนี้มีความหมายต่อความเป็นความตายในพม่าได้

ทั้งนี้ มูลนิธิ Save the Children กล่าวว่ามีเด็กๆ หลายพันคนที่กำลังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเนื่องจากไม่ได้รับอาหารเพียงพอ

ข้อดีอีก 2 ข้อของอาหารดังกล่าวนี้คือ ลักษณะของบรรจุภัณฑ์นั้นทำให้สามารถนำไปแจกจ่ายโดยการทิ้งร่มจากอากาศยานได้ และพ่อแม่สามารถนำไปให้ลูกๆ กินได้เลย โดยไม่ต้องไม่ปรึกษาแพทย์ ทำให้ผู้ใหญ่สามารถดูแลเด็กๆ ได้เอง

"อาหารนี้สามารถนำไปแจกจ่ายได้จากสถานที่ซึ่งอยู่ไกลออกไป และผู้รับก็เพียงแค่มาเอามันไป" นายแฟรงค์ สมิธิอุส ( Frank Smithuis) ผู้อำนวยการประจำพม่าขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Medecins sans Frontieres) กล่าวกับเอเอฟพี

"ก่อนหน้านี้ เราเคยนำอาหารไปส่งถึง 6 ครั้งต่อวัน โดยใช้เจ้าหน้าที่ในการดูแลเพียงคนเดียวเท่านั้น" นายสมิธิอุสดล่าว

ส่วนนายโคกิลกล่าวว่า "ถ้าเด็กๆ ไม่สามารถกลืนลงไปได้ พวกเขาสามารถแบ่งมันออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยรับประทาน ทั้งหมดนี้สามารถจัดการได้ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องมีการดูแลทางการแพทย์แต่อย่างใด"

ขนมเนยถั่วซึ่งให้พลังงานประมาณ 500 แคลลอรี่นี้ เคยถูกนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบกับภาวะขาดอาหารในประเทศไนเจอร์และในเขตดาร์ฟูประเทศซูดาน และสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วในสถานการณ์ที่ไม่มีเวลามากนัก

"อาหารนี้เต็มไปด้วยวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะสังกะสี (zinc) ซึ่งสามารถช่วยในการต่อต้านการติดโรคได้" นาย มาร์คัส ไพเออร์ (Marcus Prior) โฆษกโครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติหรือ WFP กล่าว

โฆษกผูนี้ยังกล่าวอีกว่า หากนึกถึงความยากลำบากในการกู้ภะยพิบัติระดับโลก ผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้นับว่าช่วยได้มาก เนื่องจากสามารถเก็บไว้ได้นาน

"อาหารยุคอวกาศทั้ง 2 อย่างนี้ไม่มีรสชาดที่ดีนัก แต่เมื่อเด็กๆ อยู่ในภาวะที่ขาดอาหาร รสชาดก็ไม่สำคัญอีกต่อไป" นาง ชันตา โบลแมน (Shantha Bloeman) โฆษกขององค์การ UNICEF กล่าว.