ผลการศึกษาพิสูจน์ทางพันธุ์กรรมที่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยืนยันว่ากูปรี (Kouprey) หรือ "โคไพร" อันเป็นสัตว์ประจำชาติของกัมพูชา เป็นสัตว์สายพันธุ์เฉพาะตามธรรมชาติอย่างที่เข้าใจกันมาตลอดเวลา 6 ทศวรรษ มิใช่พันธุ์ผสมระหว่างวัวแดงกับวัวพื้นเมือง ตามที่มีนักวิทยาศาสตร์ยกขึ้นมาแสดงความสงสัยเมื่อปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะกล้าฟันธงขนาดนี้ นักวิทยาศาสตร์ค่ายนี้ก็ยังต้องหาทางออกให้กับความสัมพันธ์ระหว่างกูปรีกับวัวแดง (Banteng) ซึ่งเป็นวันป่าในแถบร้อนที่ยังมีอยู่ในปัจจุบันนี้
ผลการศึกษาจาก DNA ของวัวป่าสายพันธุ์นี้ยืนยันได้ชัดเจนว่า กูปรีไม่ใช่วัวลูกผสมอย่างแน่นอน นักชีววิวัฒนาการ (evolutionary biologist) ชาวฝรั่งเศส 2 คน คือ อาเล็กซังเดร ฮัสซานิน (Alexandre Hassanin) กับ อานน์ โฮปิเกต์ (Anne Ropiquet) ได้สกัดรหัสพันธุกรรมหรือ ดีเอ็นเอ (DNA) ของกูปรี และ ศึกษาเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของวัวป่ากับวัวพันธุ์พื้นเมืองในกัมพูชาทุกวันนี้
ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมีดีเอ็นเออยู่ 2 ประเภทคือ นิวเคลียร์ดีเอ็นเอ (Nuclear DNA) กับ ไมโตคอนเดรียลดีเอ็นเอ (Mitocondrial DNA) หรือ MtDNA
ประเภทแรกเป็นรหัสที่ผสมผสานกันระหว่างยีนส์ของบิดาและมารดา ส่วน MtDNA เป็นรหัสพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากแม่โดยตรง นักชีววิทยาทั้งคู่นี้ได้พิสูจน์ดีเอ็นเอทั้ง 2 ประเภทในกูปรี
"ข้อมูลทางโมเลกุลเหล่านี้ได้ทำให้เราศึกษาประวัติวิวัฒนาการของดีเอ็นเอทั้งสองประเภท" นายฮัสซานินเปิดเผยกับนิตยสารวิทยาศาสตร์โดยส่งคำตอบทางอีเมล์จากกรุงฮานอย เวียดนาม
นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองคนกำลังจะส่งรายเรื่องนี้ถึงราชบัณฑิตย์สมาคมในกรุงลอนดอนเร็วๆ นี้
นายฮัสซานินกล่าวว่า เขากับเพื่อนร่วมงานได้ค้นพบว่าดีเอ็นเอของกูปรีนั้นบริสุทธิ์ ไม่มีรหัสพันธุ์กรรมใดๆ ของวัวแดง หรือวัวพื้นบ้าน (Zebu) ปะปนแม้แต่น้อย ทำให้ตีความได้ว่ากูปรีเป็นสัตว์สายพันธุ์เฉพาะ ที่มีวิวัฒนาการมาในธรรมชาติ
** หายหน้าไปไหนถึง 50 ปี?**
"โคไพร" เป็นสัตว์ในฝันของนักล่าและเป็นที่ต้องการของนักอนุรักษ์สัตว์ป่า รวมทั้งบรรดานักเผชิญไพรทั้งหลาย มีการค้นพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2480 หรือ 68 ปีมาแล้ว และ ในปี 2503 กัมพูชาได้ประกาศให้เป็นสัตว์ประจำชาติ
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติกับการตามล่าของพรานป่าทำให้จำนวนกูปรีลดน้อยลงหรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
มีการออกค้นหาและเชื่อว่าได้พบกูปรีอีกครั้งเมื่อปี 2496 หรือเมื่อ 54 ปีมาแล้ว และนั่นเป็นการพบครั้งสุดท้ายเท่าที่มีการบันทึก
"ผมไม่อาจจะคิดว่าถ้าหากมีกูปรีหลงเหลืออยู่ในวันนี้ พวกเราจะไม่เห็นหรือไม่ได้รับรู้" นายแกรี กาลเบรธ (Gary Galbreath) นักชีวิวิวัฒนาการอีกคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยนอร์เวสเทอร์นในเมืองอีแวนส์ตัน รัฐอิลลินอยส์ กล่าว
"แต่ผมหวังที่จะมีการพิสูจน์ว่าความเชื่อของผมนั้นผิด" นายกาลเบรธกล่าว
** ความลี้ลับของ MtDNA **
ในปี พ.ศ.2504 นักสัตว์ศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อแอร์วาร์ต โบห์ลเคน (Herwart Bohlken) ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่ากูปรีอาจจะเป็นสัตว์ลูกผสมระหว่างวังแดงกับวัวบ้าน โดยพิจารณาจากรูปร่างกะโหลกของวัวทั้งสามประเภทที่มีความคล้ายคลึงกัน
นายกาลเบรธกับผู้ร่วมทีมได้เริ่มทดสอบและตีพิมพ์รายงานเบื้องต้นเอาไว้ในวารสารสัตว์ศาสตร์เมื่อปี 2549 ให้มีการศึกษาเปรียบเทียบไมโตคอนเดรียลดีเอ็นเอจากหัวกะโหลกของกูปรีหรือชิ้นส่วนอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันกับ MtDNA ของวัวบ้าน หากพบว่าเหมือกันก็แสดงว่าวัวทั้งสองประเภทมีสายสัมพันธ์ต่อตรงกัน
น่าทึ่งมาก ในวัวแดงที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้มีไมโตคอนเดรียลดีเอ็นเอของกูปรีให้เห็นอยู่-- เชื่อได้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วกูปรีกับวัวแดงก็มีจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน—ร่วมมารดาเดียวกัน?
แต่การประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นการสรุปยืนยันความมั่นใจในผลการศึกษาว่า--- ไม่ใช่
ในเดือน ธ.ค.2549 นายกาลเบรธได้ให้ความสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับกะโหลกของกูปรีที่นักวิทยาศาสตร์ชาวไทย 2 คนศึกษาเอาไว้
กะโหลกที่ชาวโลกคุ้นหน้าคุ้นตากันดีนั้นอาจจะอยู่มาตั้งแต่ยุคเพลสโตซีน (Pleistocene) หรือ ตอนต้นๆ ยุคโฮโลซีน (Holocene) ระหว่าง 1250,000-5,000 ปี
"มันคงจะไม่มีกะโหลกกูปรีมายาวนานถึงขนาดนั้น ถ้าหากสัตว์ชนิดนี้เป็นเพียงแค่สัตว์ลูกผสมที่ปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้" นายกาลเบรธกล่าวแบบถึงบางอ้อ
นายกาลเบรธกับเพื่อนร่วมทีมก็เคยเห็นคล้อยตามทฤษฎีที่ว่ากูปรีเป็นแค่สัตว์ลูกผสม แต่เพิ่งจะมาประกาศค้านความเชื่อดังกล่าวในรายงานชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารสัตว์ศาสตร์ฉบับเดือน มี.ค.2550
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะฟันธงว่ากูปรีเป็นสายพันธุ์โดดๆ แต่ก็ยังมีคำถามใหญ่ๆ อยู่เช่นกันว่า -- แล้วกูปรีมี MtDNA แบบเดียวกันกับวัวแดงได้อย่างไร? หรือว่ากูปรีมีแม่เดียวกันกับวัวแดง--- ตามกฎแห่งพันธุกรรม?
และจะให้คำตอบอย่างไรกับคำถามนี้?
ฮัสซานินกับโรปิเกต์ ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ข้อมูลทางพันธุกรรม และตั้งข้อสันนิษฐานว่า ในช่วงใดช่วงหนึ่งในยุคเพลสโตซีนอาจจะมีกูปรีเพศเมียตัวหนึ่ง กับบรรพบุรุษของวัวแดงตัวผู้ตัวหนึ่งผสมพันธุ์กัน การผสมพันธุ์ลักษณะเช่นนี้อาจจะเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 ครั้ง
ต่อมาวัวข้ามสายพันธุ์ตัวนั้น ได้เจริญพันธุ์ต่อไปสู่ยุคหลาน เหลน โหลน และรหัส MtDNA ได้ถ่ายทอดข้ามยุคตกมาถึงประชากรวัวแดงในยุคปัจจุบัน!! แต่ทั้งหมดก้ยังเป็นแค่ความเป็นไปได้เท่านั้น.