กรุงเทพฯ-- ทางการเวียดนามได้อนุญาตให้สายการบินแอร์เอเชีย (AirAsia) จากมาเลเซียเข้าร่วมทุนเพื่อจัดตั้งศูนย์การบินราคาต่ำขึ้นในเวียดนาม ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างจริงจังกับสายการบินโลว์คอสท์ในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแปซิฟิกแอร์ไลนส์
ทั้งนี้เพื่อให้ประโยชน์ต่อการเดินทางธุรกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ
บริษัทแอร์เอเชียร่วมกับรัฐวิสาหกิจต่อเรื่องเวียดนามหรือ "วินาชิน" (Vietnam Shipbuilding Industry Group) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในเวียดนาม ประกาศจัดตั้งสายการบินแห่งใหม่ โดยใช้ชื่อว่า วินาแอร์เอเชีย (Vina AirAsia) เพื่อให้บริการบินโดยจำหน่ายตั๋วโดยสารราคาถูกเชื่อมปลายทางต่างๆ ทั้งในประเทศและในระดับภูมิภาค
ผู้บริหารของสองฝ่ายประกาศเรื่องนี้ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันศุกร์ (31 ส.ค.) หลังจากมีข่าวเล็ดรอดออกมาก่อนหน้านี้
พร้อมกับการประกาศแผนการร่วมทุนด้วยเงินลงทุนราว 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ฝ่ายเวียดนามยังคงถือหุ้น 70% และ บริษัทแอร์เอเชียจากมาเลเซียถือจำนวนที่เหลือ ผู้บริหารของแอร์เอเชียได้ประกาศจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A320 ใหม่เอี่ยมอีกจำนวน 25 ลำ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
สายการบินใหม่ในเวียดนามประเทศที่มีประชากรกว่า 84 ล้านคน และ มีภูมิประเทศยาวเหนือจรดใต้ตามแนวชายฝั่ง มีกำหนดจะเริ่มในเดือน ก.ค.2551
ดาโต๊ะโทนี เฮอร์นันเดซ (Tony Hernandez) ซีอีโอของของแอร์เอเชียกล่าวว่า การเซ็นบันทึกช่วยความจำเพื่อความเข้าใจ (MoU) เรื่องนี้กับวินาชิน มีขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา และ การเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการทีกำหนดขึ้นในวันที่ 20 ก.ย.นี้
สำหรับแอร์เอเชีย การได้เข้าใช้เวียดนามเป็นศูนย์การบินต้นทุนต่ำนั้น เป็นคืบก้าวที่สำคัญมากในแผนการอันทะเยอทะยานที่จะเปิดการบินต้นทุนต่ำเชื่อมทั่วทั้งภูมิภาคอย่างเป็นเครือข่าย และ เป็นผลจากความพยายามตลอด 2 ปีมานี้
ที่ผ่านมารัฐบาลเวียดนามยังไม่อนุญาตให้แอร์เอเชียเปิดบินตรงเข้าสู่นครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ คงให้บินเข้าสู่กรุงฮานอยเท่านั้น ซึ่งรวมทั้งไทยแอร์เอเชีย (Thai AirAsia) บริษัทลูกที่บินจากกรุงเทพฯ ด้วย
ปัจจุบันแอร์เอเชียมีเครื่องบินใช้งานจำนวน 50 ลำ เป็นเครื่องแอร์บัส A320 จำนวน 15 ลำ กับ โบอิ้ง 737-300s อีก 35 ลำ
แต่เมื่อปี 2548 บริษัทแม่แอร์เอเชียในมาเลเซียได้เซ็นสัญญาซื้อเครื่องแอร์บัส A320 ล๊อตใหญ่จำนวน 150 ทั้งหมดมีกำหนดจะขึ้นบินได้ในปี 2552
การสั่งซื้อครั้งใหม่นี้จะทำให้แอร์เอเชียเป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีเครื่องบินรวมประมาณ 200 ลำมากกว่าสายการบินขนาดใหญ่ในเอเชียทุกสายในปัจจุบัน และ ยังเป็นสายการบินที่มีเครื่องแอร์บัส A320 ในฝูงมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
"เราต้องการเครื่องบิน A320 อีก 25 ลำ และจะมีการประกาศเรื่องนี้ภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า" ดาโต๊ะเฮอร์นันเดซ กล่าวซึ่งเอเอฟพีอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งว่าราคารวมกันทั้งหมดอาจจะถึง 1,600 ล้านดอลลาร์
นายเฮอร์นันเดซกล่าวอีกว่า แอร์เอเชียอาจจะใช้ฐานในเวียดนาม เปิดบินเชื่อมปลายทางต่างๆ ในแผ่นดินใหญ่จีนด้วย
นายทอม บัลลันไทน์ (Tom Ballantyne) หัวหน้าผู้สื่อข่าวของนิตยสาร Orient Aviation ในออสเตรเลียกล่าวว่า แอร์เอเชียมีแผนที่จะเปิดข่ายการบินแบบโลว์คอสท์เชื่อมทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
“การเติบโต (ของการบินโลว์คอสท์) ในภูมิภาคนี้น่าทึ่งมาก เพราะฉะนั้นพวกเขาต้องติดตามให้ทัน” นายบัลลันไทน์กล่าว
นักวิเคราะห์กล่าวว่า แผนการจัดตั้งสายการบินโลว์คอสท์แห่งที่ 2 นี้ ย่อมจะส่งกระทบโดยตรงต่อสายการบินแปซิฟิกแอร์ไลนส์ ที่จำหน่ายหุ้นในสัดส่วนเดียวกันนี้ให้แก่สายการบินแควนคัส (Qantas) แห่งออสเตรเลีย เมื่อต้นปีเพื่อบินเชื่อมปลายทางต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
แควนตัสได้จัดโครงสร้างการบริการใหม่และส่งเจ้าหน้าที่จากออสเตรเลียนั่งประจำคณะกรรมกาบริหาร แต่การขยายกิจการดำเนินไปค่อนข้างล่าช้าในช่วงหลายเดือนมานี้
นักวิเคราะห์กล่าวว่า แควนตัสซื้อหุ้นในแปซิฟิกแอร์ไลนส์ ก็เพื่อให้สายการบินเจ็ตสตาร์เอเชีย (JetStar Asia) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ขาดทุนมาตลอด ได้มีโอกาสเปิดตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ที่การบินโลว์คอสท์เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งในช่วงไม่กี่ปีมานี้
แปซิฟิกแอร์ซึ่งมีเครื่องบินให้บริการอยู่เพียง 3 ลำ ได้ประกาศจัดหาเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ลำ แต่ก็ยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ขณะที่สายการบินแห่งนี้ประกาศเปิดเส้นทางใหม่ๆ หลายแห่งรวมทั้งบินมายังกรุงเทพฯ และ บินเชื่อมไต้หวัน ด้วยเครื่องแอร์บัส A321 ที่มีอยู่
การรุกคืบของแอร์เอเชีย (วินาแอร์เอเชีย) จึงส่งผลกระทบต่อผู้ลงทุนจากออสเตรเลียในแปซิฟิกแอร์ไลนส์โดยตรง นักวิเคราะห์กล่าว
ไม่เพียงแต่เท่านั้น การปรากฏตัวของวินาแอร์เอเชีย ยังจะส่งผลโดยตรงถึงสายการบินแห่งชาติเวียดนามแอร์ไลนส์ ซึ่งในปัจจุบันครอบครองเส้นทางหลักภายในประเทศ ซึ่งล้วนเป็นเส้นทางที่มีกำไร
"สายการบินโลว์คอสท์แห่งใหม่จะส่งผลกระทบต่อสายการบินต่างๆ ในเวียดนามอย่างแน่นอน ทุกแห่งจะต้องปรับตัวเพื่อการแข่งขัน โดยนักเดินทางและนักท่องเที่ยวจะเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์" นักวิเคราะห์กล่าวกับสื่อของทางการเวียดนาม
เมื่อสัปดาห์ก่อนแอร์เอเชียเพิ่งประกาศขยายเส้นทางใหม่จากไทยและมาเลเซียไปยังฮ่องกง และ ในวันพฤหัสบดีสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทนี้ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กัวลาลัมเปอร์ได้ประกาศผลกำไรสุทธิไตรมาสที่ 4 ที่เพิ่มขึ้นถึง 41.5% เป็น 53 ล้านดอลลาร์
แอร์เอเชียกล่าวว่าผลกำไรที่เพิ่มนั้น เนื่องจากมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มจำนวนขึ้นราว 45% นั่นเอง
สำหรับสายการบินแควนตัส (Qantas Airways Ltd) จากออสเตรเลีย ได้เข้าซื้อหุ้น 30% ในแปซิฟิกแอร์ไลนส์ในต้นเดือน เม.ย.ปีนี้ จากบรรษัทการลงทุนแห่งรัฐ หรือ SCIC (Sate Capital Investment Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลที่เข้าถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจต่างๆ
เจ้าหน้าที่ของทางการกล่าวว่า การจำหน่ายหุ้นสายการบินแปซิฟิกฯ ซึ่งเป็นสายการบินแห่งที่ 2 ของประเทศนี้ เป็นส่วนหนึ่งในแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดย SCCIC มีแผนจะนำเอารัฐวิสาหกิจหลายแห่งเข้าจดทะเบียน เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมกล่าวว่า แควนตัส ซึ่งเป็นเจ้าของสายการบินแบบโลว์คอสท์เจ็ทสตาร์ แอร์เวย์ส(JetStar Airways) กำลังพยายามหาทางย้ายฐานการบินแบบโลว์คอสท์ออกไปจากสิงคโปร์ ซึ่งมีข้อจำกัดทางสภาพภูมิศาสตร์ทำให้ขาดทุนมาตลอดช่วง 2 ปีมานี้
เจ็ทสตาร์แอร์เวย์ส ได้เริ่มบินเข้าเวียดนามตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีที่แล้ว โดยเปิดบริการเส้นทางนครโฮจิมินห์-นครซิดนีย์ และ ในเดือน มี.ค. ปีนี้ก็ได้เปิดให้บริการบินนครโฮจิมินห์-สิงคโปร์ เป็นครั้งแรกด้วยค่าตั๋วโดยสารเริ่มตั้งแต่ 37 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป
เจ็ทสตาร์ใช้เครื่องแอร์บัส A320 บินตรงจากท่าอากาศยานเติ่นเซินเญิต (Tan Son Nhat) ไปลงที่ท่าอากาศยานชางงี (Changi) ซึ่งต่างกับไทเกอร์แอร์ (Tiger) สายการบินต้นทุนต่ำของของสิงคโปร์เอง ที่ไปลงจอดอีกแห่งหนึ่ง สำหรับสายการบินต้นทุนต่ำโดยเฉพาะ
เจ็ทสตาร์เป็นหนึ่งในสายการบินต้นทุนต่ำแห่งแรกๆ ที่บินสู่เวียดนามในขณะนี้ เช่นเดียวกันกับ ไทเกอร์แอร์ (Tiger Air) แอร์เอเชีย (AirAsia) จากมาเลเซีย และ ไทยแอร์เอเชีย (Thai AirAsia) จากประเทศไทย
นักวิเคราะห์ในออสเตรเลีย กล่าวว่า แควนตัสได้พบสิงคโปร์ไม่เหมาะที่จะเป็นฐานธุรกิจการบิน เนื่องจากเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถเปิดบินภายในประเทศได้ การมีสัมพันธ์ทางธุรกิจกับแปซิฟิกแอร์ไลน์ส จะช่วยให้แควนตัสกับเจ็ทสตาร์ เปิดช่องทางทำธุรกิจบินโลว์คอสท์ในตลาดใหญ่เวียดนาม และในภูมิภาคเอเชียได้
เจ็ทสตาร์เอเชีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2548 จากการร่วมทุนระหว่างสายการบินเจ็ทสตาร์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของแควนตัส กับบริษัทร่วมทุนสิงคโปร์ ความคิดเดิมก็คือ จะใช้เกาะเล็กๆ แห่งนี้เป็นศูนย์กลางบินเชื่อมกับออสเตรเลีย และปลายทางอื่นๆ ที่มีระยะเวลาทำการบินไม่เกิน 2 ชั่วโมงในภูมิภาคแถบนี้
แต่ 2-3 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์ว่า การตั้งฐานบินในสิงคโปร์ทำให้การตลาดไม่เข้าเป้า และ เจ็ทสตาร์เอเชีย ขาดทุนสะสมมาโดยตลอด
สำหรับแปซิฟิกแอร์ไลนส์เองก็ประสบปัญหาขาดทุนมาตลอด เนื่องจากกฎระเบียบที่ห้ามบินทับเส้นทางสายการบินเวียดนามแอร์ไลนส์ ในเส้นทางบินภายในประเทศที่มีผลกำไร จนกระทั่งต้องผันตัวเองไปเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ โดยเปิดบินในประเทศเมื่อต้นปีนี้
รัฐบาลเวียดนามได้เปิดทางให้คณะผู้บริหารของแปซิฟิกแอร์ไลน์ส หาทางแก้ไขปัญหา โดยปรับโครงสร้างการบริหารจัดการใหม่ ตลอดจนเจรจากับนักลงทุนต่างชาติเพื่อระดมทุนเข้าพัฒนาสายการบินแห่งนี้
ในปี 2547-2548 แปซิฟิกแอร์ไลน์สได้เจรจาแผนการร่วมทุนอย่างยืดเยื้อกับ กลุ่มเทมาเสก (Temasek) ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
เจ้าหน้าที่เวียดนามกล่าวว่า บริษัทของรัฐบาลสิงคโปร์ต้องการฮุบกิจการของแปซิฟิกแอร์ไลนส์ทั้งหมด และ ยังขอจัดตั้งสายการบินแห่งที่ 2 เป็นเงื่อนไขในการร่วมทุนอีกด้วย.