xs
xsm
sm
md
lg

ปลายปีพม่าเปิด EWEC เชื่อมไทย-ลาว-เวียดนาม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



ผู้จัดการรายวัน-- ทางการเวียดนามเปิดเผยว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 นี้มีรถยนต์ชนิดต่างๆ รวมทั้งจำนวนคนเดินทางไปตามทางหลวงเลข 9 ในลาว ผ่านด่านลาวบ๋าว (Lao Bao) เข้าสู่เวียดนามเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสองเท่าตัว

ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการคมนาคมขนส่งที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว บนถนนสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกที่เชื่อม 4 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเปิดใช้สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงมุกดาหาร-สะหวันนะเขต ในเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่พม่ากล่าวว่าส่วนปลายตะวันตกของถนนสายตะวันออก-ตะวันตกความยาว 100 กิโลเมตรเศษ ในดินแดนพม่า จะสามารถเปิดใช้ได้ในปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้ประเทศต่างๆ ใช้เป็นทางผ่านเข้าสู่ตลาดการค้าและการท่องเที่ยวใหญ่ในเอเชียใต้ได้

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวในการประชุมสัมมนาที่นครด่าหนัง (Danang) เมื่อวันอังคาร (28 ส.ค.) ว่า ทั้ง 4 ประเทศ คือ เวียดนาม ลาว ไทย และพม่า จะต้องเร่งปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมือง กำหนดอัตราภาษีอากร ค่าธรรมเนียม และ อื่นๆ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ลดระยะเวลาดำเนินการในการข้ามพรมแดน เพื่อร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจตามเจตนารมณ์ของเส้นทางสายนี้

ถนนสาย EWEC (East West Economic Corridor Highway) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ถนนรถวิ่งเพื่อเชื่อม 4 ประเทศสมาชิกอาเซียนเท่านั้น แต่จะต้องใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการใช้พัฒนาเศรษฐกิจของทั้งอนุภูมิภาคอีกด้วย จึงจะเป็นการใช้ประโยชน์ที่คุ้มค่าสมเจตนารมณ์ของการจัดสร้าง

การประชุมสัมมนาเกี่ยวกับการพัฒนาเส้นทางสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก จัดขึ้นในนครด่าหนัง (Danang) ในภาคกลางเวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "สัปดาห์ EWEC" (EWEC Week) ซึ่งจะมีไปจนถึงวันที่ 2 ก.ย. โดยมีคณะผู้แทนรัฐบาลจากลาว ไทยและพม่า ไปร่วมด้วย

ฝ่ายเวียดนามมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ามยาเคียม (Pham Gia Khiem) เป็นประธานของงาน มีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ และองค์การต่างๆ รวมทั้งเจ้เหน้ที่ของ 4 ประเทศเข้าร่วมกว่า 400 คน

คณะของไทยนำโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสมหมาย ภาษี คณะจากพม่านำโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายหม่องมี้นต์ (Maung Myint) และ คณะจากลาวนำโดย นายสมสะหวาด เลงสะหวัด รองนายกรัฐมนตรี "ผู้ประจำการรัฐบาล"

ธนาคารเพื่อพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) องค์การเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นหรือ ไจก้า (Japan International Cooperation Agency) ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นหรือ "เจบิค" (Japan Bank for International Cooperation) และ องค์การการค้าสัมพันธ์แห่งญี่ปุ่นหรือ "เจโทร" (Japan External Trade Organization) ก็ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมการประชุมสัมมนาครั้งนี้

ระหว่างสัปดาห์ EWEC Week มีงานแสดงสินค้า การลงทุน และ การท่องเที่ยวในนครด่าหนัง มีการออกร้านของภาคธุรกิจจากประเทศต่างๆ คือ ไทย ลาว พม่า ออสเตรเลีย จีน อินโดนีเซีย ปากีสถาน รัสเซีย และ จากเกาหลีใต้ กว่า 300 คูหา

จากการเปิดเผยของนายกาวเหวียดซิง (Cao Viet Sinh) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแผนการและการลงทุนเวียดนาม ตั้งแต่ต้นปีจนถึงบัดนี้ มีรถยนต์ชนิดต่างๆ ผ่านด่านลาวบ๋าว ที่จ.กว๋างจิ (Quang Tri) ของเวียดนามกว่า 30,000 คัน และ มีนักเดินทางจำนวน 163,000 คน ซึ่งเป็นอัตราเพิ่ม 1 เท่าตัวเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549

นักวิชาการกล่าวว่า ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมการขนส่งและการเดินทางผ่านถนนสาย EWEC ก็คือ การเปิดใช้สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงสะหวันนะเขต-มุกดาหาร ในวันที่ 20 ธ.ค.2549 และยังเป็นการศักราชใหม่แก่การลงทุนตามแนวของถนนสายยุทธศาสตร์สำคัญนี้ด้วย

อย่างไรก็ตามนักธุรกิจ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมการประชุมสัมมนาลงความเห็นว่าถึงแม้ถนนสาย EWEC จะเปิดใช้ได้ 100% แล้ว แต่การจะใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของทั่วทั้งอนุภูมิภาคได้อย่างเต็มที่ ประเทศต่างๆ ยังมีสิ่งที่จะต้องทำอีกมาก

ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมการประชุมสัมมนาซึ่งจัดขึ้นที่ฟุราม่ารีสอร์ต (Furama Resort) กล่าวว่า ทั้ง 4 ประเทศจะต้องปฏิรูปนโยบายการลงทุนและข้อปฏิบัติทางราชการเป็นสำคัญ จึงจะทำให้ถนนสายนี้เป็นถนนสายเศรษฐกิจ มากกว่าการเป็นถนนให้รถแล่นผ่านธรรมดา

นายเจิ่นวันมิง (Tran Van Minh) ประธานคณะกรรมการประชาชนนครด่าหนัง กล่าวว่ามีรูปธรรมอยู่อย่างน้อย 3 ประการที่จะต้องได้รับการจัดตั้งขึ้นมา

ประการแรก เวียดนาม ลาว ไทยและพม่า ต้องทำความตกลงให้มีการผ่านแดนไปมาหาสู่กันที่สะดวกยิ่งขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดการเสียเวลา

ประการต่อมาคือการร่วมกันกำหนดอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่ขนส่งผ่านทั้ง 4 ประเทศ และ ประการสุดท้ายคือ การร่วมกันกำหนดนโยบาย "4 ประเทศ 1 ปลายทาง" ให้ปรากฏเป็นจริง

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งให้ความเห็นว่า ถนนสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก จะสร้างโอกาสที่ดีในการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรต่างๆ แหล่งพลังงาน รวมทั้งแหล่งอาหารทะเล ของบรรดาประเทศ

ทางด้านลงทุน นักวิชาการกล่าวว่า ในภาคกลางเวียดนามอันเป็นปลายทางทิศตะวันออกของถนนสายนี้ มีเมืองท่าอยู่หลายแห่งเป็นทางออกสู่ทะเลตะวันออก เป็นประโยชน์ต่อการลงทุน-การขนส่งสินค้า
<CENTER><FONT color=#3366FF> ภาพกว้างของถนสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก เวียดนาม-ลาว-ไทย-พม่า กับถนนสายหลักอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน ประเทศไทยอยู่ในฐานะเป็นจุดต่อเชื่อมที่สำคัญ</FONT></CENTER>
นอกจากท่าเรือเกียนซา (Kien Sa) ในนครด่าหนังแล้ว ยังมีท่าเรือจันไม (Chan May) ใน จ.เถือะเทียนเหว (Thua Thien Hue) ท่าเรือกี๋ห่า (Ky Ha) จ.กว๋างนาม (Quang Nam) ท่าเรือซากี๋ (Sa Ky) จ.กว๋างหงาย (Quang Ngai) กับ ท่าหวุงอาง (Vung Ang) จ.ห่าติ๋ง (Ha Tinh)

ภาคกลางเวียดนามยังเป็นเขตอุตสาหกรรมสำคัญ รวมทั้งโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของประเทศที่ยวุ๋งกว๊าต (Dung Quat) จ.กว๋างหงาย มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี 2552 ซึ่งจะเกิดอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมแปรรูปอื่นๆ ติดตามมา

ภาคกลางเวียดนามยังมีท่าอากาศยานอีกหลายแห่งที่กำลังมีการพัฒนายกระดับขึ้นเป็นท่าอากาศยานนานาชาติทั้งหมด

นายอะยุมิ โกนิชิ (Ayumi Konishi) ผู้อำนวยการของเอดีบีประจำเวียดนาม กล่าวว่าธนาคารดังกล่าวมีนโยบายที่จะสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาตามเส้นทางสายตะวันออก-ตะวันตก รวมทั้งสนับสนุนโครงการต่างๆ เพื่อการลดความยากจนของประชาชนในเขตเศรษฐกิจนี้ด้วย

นายเท็ตสุโอะชิโอะงุชิ (Tetsuo Shiogushi) ผู้แทนของ JBIC กล่าวในที่ประชุมสัมมนาว่า ขอให้รัฐบาลของแต่ละประเทศแจ้งให้ธนาคารแห่งนี้ทราบว่าต้องการความช่วยเหลืออะไร ในการพัฒนาเศรษฐกิจตามเส้นทางสายนี้

ที่ผ่านมาปลายทางตะวันออกของถนน EWEC กำลังมีการพัฒนาอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตนครด่าหนังและจังหวัดภาคกลางอื่นๆ รวมทั้งตามแนวทางหลวงเลข 9 ของลาวด้วย

เขตเศรษฐกิจลาวบ๋าวของเวียดนามกำลังก้าวรุดหน้า สามารถดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนหลายประเทศ ทั้งไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือกระทั่งญี่ปุ่นและเกาหลี

นักลงทุนจากมาเลเซียกำลังก่อสร้างเขตเศรษฐกิจสะหวัน-เซโน ขึ้นในแขวงสะหวันนะเขตของลาว กลุ่มธุรกิจ-บริการจากไทยหลายแห่งเริ่มเข้าไปจับจองสถานที่ รวมทั้งบริษัทบริการภาคพื้นดินของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยด้วย
<CENTER><FONT color=#3366FF> ถนน EWEC ส่วนที่อยู่ในเวียดนามคือทางหลวงสาย A1 ระหว่างนครด่าหนัง (Danang) กับเมืองด่งเฮย (Dong Hoi)  จ.กว๋างจิ (Quang Tri) จากนั้นเป็นทางหลวงเลข 9 มุ่งตะวันตกข้ามพรมแดนเข้าสู่ลาว ตามทางหลวงที่ใช้รหัสเดียวกัน </FONT></CENTER>
ระหว่างการเยือนพม่าเป็นเวลา 2 วันของนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เหวียนเติ๋นยวุ๋ง (Nguyen Tan Dung) เมื่อกลางเดือน ส.ค.นี้ เจ้าหน้าที่พม่าได้บอกกับฝ่ายเวียดนามว่า ถนนความยาวประมาณ 130 กม. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของถนน EWEC ในดินแดนพม่าจะเปิดใช้ได้ในปลายปีนี้

นักธุรกิจพม่าจำนวนมากได้บอกกับฝ่ายเวียดนามในงานเลี้ยงที่จัดขึ้น ณ เมืองเนย์ปีดอ (Naypyidaw) ว่า เมื่อเปิดใช้ถนน EWEC การค้าระหว่างพม่ากับเวียดนาม ลาวและไทย จะขยายตัวอย่างกว้างขวาง

“เมื่อความเคลื่อนทางเศรษฐกิจตามแผนพัฒนาถนนสายตะวันออก-ตะวันตกเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในปลายปีนี้ พม่าจะสามารถเป็นทางผ่านสำหรับการค้าระหว่างเวียดนามกับกลุ่มประเทศเอเชียใต้ได้..” นายหม่องหม่องเล (Maung Maung Lay) นักธุรกิจชั้นนำคนหนึ่งของประเทศบอกกับนิตยสารข่าวรายสัปดาห์ “เมียนมาร์ไทม์ส”

นักธุรกิจผู้นี้กล่าวอีกว่า ในขณะเดียวกันเวียดนามก็จะเป็นทางผ่านของสินค้าจากพม่า ลาวและไทยไปยังเกาหลีและญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน เมียนมาร์ไทมส์กล่าว

ถนนสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก เริ่มที่นครด่าหนัง ผ่าน จ.เถือะเทียนเหว จ.กว๋างจิ ข้ามพรมแดนสู่แขวงสะหวันนะเขตของลาว ข้ามสะพานมิตรภาพไป จ.มุกดาหาร .กาฬสินธุ์ ขอนแก่น พิษณุโลก และ อ.แม่สอด จ.ตาก เข้าสู่พม่าที่เมืองเมียววดี (Myawaddy) และออกสู่อ่าวเมาะตะมะ -มหาสมุทรอินเดียที่เมืองมะละแหม่ง (Mawlamyine) ในรัฐมอญ รวมระยะทาง 1,450 กม.

ถนน EWEC จะช่วยร่นระยะทางได้กว่า 2,000 กม.เทียบกับการขนส่งทางเรือจากทะเลจีนใต้ไปยังมหาสมุทรอินเดีย และ ร่นเวลาในการขนส่งได้กว่า 2 สัปดาห์

ถนนสายนี้เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง หรือ GMS (Greater Mekong Sub-Region) 6 ประเทศและดินแดน อันได้แก่ ไทย พม่า กัมพูชา เวียดนาม ลาวและจีน (มณฑลหยุนหนัน) เกิดขึ้นตามข้อตกลงของที่ประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 8 ของ GMS ที่จัดขึ้นในกรุงมะนิลา ในเดือน ต.ค.2541

ต่อมาในเดือน ธ.ค.ปีเดียวกัน แผนพัฒนาถนน EWEC ถูกบรรจุเข้าใน "แผนปฏิบัติการกรุงฮานอย" ระหว่างการประชุมผู้นำกลุ่มอาเซียนที่จัดขึ้นในเมืองหลวงเวียดนาม

นับแต่นั้นเป็นต้นมาในประเทศต่างๆ ได้มีความพยายามต่อเชื่อมถนน EWEC ไปยังปลายทางอื่นๆ ท่าอยู่ระหว่างทางอย่างกว้างขวาง รวมทั้งทางหลวงเลข 13 ในลาวเพื่อต่อไปยังกัมพูชาและจีน และจาก จ.พิษณุโลกของไทยไปยัง จ.เชียงใหม่-เชียงราย สู่ภาคเหนือของพม่า.
กำลังโหลดความคิดเห็น