นักอนุรักษ์ในประเทศพม่าเตรียมแผนการช่วยอีแร้งให้รอดพ้นจากการสูญพันธุ์ ดร.ทีน หลา (Htin Hla) ผู้อำนวยการของสถาบันอนุรักษุ์ธรรมชาติและชีวนานาพันธุ์ หรือ Biodiversity and Nature Conservation Association (BANCA) กล่าว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อีแร้งเทาหลังขาว (White-rumped Vulture) และ อีแร้งสีน้ำตาล (Slender-billed Vulture) จะเป็นหัวข้ออภิปรายหลักในการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ซึ่งจะจัดโรงแรม-อพาร์ทเม้นต์มิกาซา (MiCasa) กรุงย่างกุ้ง ในวันที่ 10 ส.ค.
"การสัมมนาดังกล่าวจะประกอบด้วยแผนการระยะสั้นและระยะยาวสำหรับการอนุรักษ์อีแร้งในพม่า รวมทั้งข้อกำหนดสำหรับการสำรวจเพื่อสืบหารังอีแร้งและทำความเข้าใจถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้" ดร.หลากล่าว
คาดว่าในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการครั้งนี้จะมีผู้เข้าร่วมประมาณ 50 คน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์จากต่างประเทศ นักสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น และ ผู้บริจาคเงินซึ่งเป็นองค์การเอกชนและภาครัฐบาลรวมทั้งสถานฑูตต่างๆ ด้วย
งานดังกล่าวจัดขึ้นโดยสถาบัน BANCA ร่วมกับ องค์การอนุรักษ์นกสากลประจำภูมิภาคอินโดจีน (Birdlife International Indochina Program) และ สมาคมอนุรักษ์นกในพระบรมราชินูปถัมภ์ จากกรุงลอนดอน (Royal Society for the Protection of Birds)
ดร.หลากล่าวว่า การสัมมนาครั้งนี้สำคัญมาก เพราะจะเน้นถึงการอนุรักษ์นกที่กำลังตกอยู่ในสภาวะอันตราย 2 ใน 5 สายพันธุ์ ที่อาศัยอยู่ในพม่า
"การอยู่ในสภาวะอัตรายดังกล่าวหมายถึงมีระดับความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูงสุด หากสัตว์ชนิดนี้สูญสิ้นไปก็ไม่มีทางกลับคืนมาได้อีกแล้ว" เขากล่าว
"อีแร้งเป็นสัตว์ที่สำคัญ เนื่องจากพวกมันกินซากสัตว์ที่ตายแล้ว ช่วยกำจัดแหล่งกำเนิดในสิ่งแวดล้อมที่นำไปสู่การติดเชื้อ ทั้งยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคปากและเท้าเปื่อย และโรคกลัวน้ำด้วย"
ดร.หลากล่าวว่า นักสิ่งแวดล้อมเป็นห่วงอีแร้งดังกล่าว เนื่องจากจำนวนประชากรของพวกมันในอนุทวีปอินเดีย (Indian Subcontinent) ลดน้อยลงถึง 95% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
นักวิจัยพบว่า อีแร้งหลายตัวในอินเดียเสียชีวิตในเวลา 72 ชม. หลังจากกินเนื้อจากศพวัวและควายที่ตายจากการได้รับยาชนิดหนึ่งซึ่งช่วยลดอาการติดเชื้อและบรรเทาความเจ็บปวด จากหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการได้รับยาชนิดนี้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ระบบการทำงานของไตในอีแร้งล้มเหลวได้เช่นกัน
องค์การอนุรักษ์นานาชาติต่างตระหนักถึงวิกฤติการณ์ดังกล่าว จึงมีการสำรวจอีแร้งที่อาศัยอยู่ที่ประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย เช่น กัมพูชาและพม่า เพื่อค้นหาขอบเขตของปัญหาที่เกิดขึ้น
การสำรวจอีแร้งที่พม่าจัดทำโดยฝ่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่าของกระทรวงการป่าไม้ ร่วมด้วยองค์การอนุรักษุ์นกสากล และ BANCA มีขึ้นในระหว่างเดือน ธ.ค. ปี 2549 ถึง พ.ค. 2550
ถึงแม้ว่าผลการสำรวจครั้งนี้จะพบว่าจำนวนประชากรอีแร้งในพม่าลดน้อยลง แต่ก็ยังมีสภาพที่ดีกว่าในประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ
"พวกเรากล้าพูดได้ว่าพม่าเป็นสถานที่สำคัญในการอนุรักษ์อีแร้ง เนื่องจากยังมีอีแร้งอีกจำนวนมากที่กำลังเจริญเติบโตต่อไป" ดร.หลากล่าว
นักสำรวจพบประชากรอีแร้งกลุ่มใหญ่ในรัฐชาน (Shan) รัฐกะฉิ่น (Kachin) และ รัฐชิน (Chin) รวมถึงมณฑลสะกาย (Sagaing Division) ตอนบน ซึ่งนอกจากอีแร้งเทาหลังขาวและอีแร้งสีน้ำตาลแล้ว ยังเห็นอีแร้งน้ำตาลหิมาลัย (Himalayan Griffon) และพญาแร้ง (Red-headed Vulture) ด้วยเช่นกัน
"พวกเราพบว่าเหล่าอีแร้งกำลังเดือดร้อนจากการขาดอาหาร การได้รับสารพิษ การล่า และ การที่รังถูกทำลาย" ดร.หลากล่าว พร้อมทั้งเสนอว่าควรมีการสำรวจเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงนกนานาชนิดที่กระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ทั่วประเทศ ระบุปัญหาที่พบและข้อมูลที่สามารถนำไปพัฒนาแผนการอนุรักษ์เพื่อเพิ่มจำนวนอีแร้ง
ในพม่า มีอีแร้งอาศัยอยู่ 6 สายพันธุ์ พันธุ์เทาหลังขาว พันธุ์สีน้ำตาล และพญาแร้ง มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศ ขณะที่อีแร้งดำหิมาลัย (Cinereous Venture) อีแร้งอียิปต์ (Egyptian Vulture) และอีแร้งน้ำตาลหิมาลัย อพยพไปจากถิ่นอื่น.