ผู้จัดการรายวัน-- ผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นที่กำลังช่วยเหลือเวียดนามพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงสายเหนือ-ใต้ ได้เสนอให้รัฐบาลประเทศนี้ใช้ระบบรถไฟหัวกระสุนเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งเปิดใช้ในเดือน ก.ค.นี้ โดยระบุว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ประหยัด รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสภาพแวดล้อมไม่แพ้เทคโนโลยียุโรป
ชินกันเซ็น เอ็น 700 (Shinkansen N700) ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ผ่านการทดสอบจนเป็นที่น่าพอใจ และ สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะที่สุดสำหรับระยะทางสั้นๆ ไม่เกิน 1,000 กิโลเมตร อย่างเช่นช่วงนครโฮจิมินห์-ญาจาง (Nha Trang)- นครด่าหนัง (Danang)
นายชูจิ เอกุชิ (Shuji Ekuchi) อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ในสังกัดกระทรวงที่ดิน การขนส่งและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของญี่ปุ่น เปิดเผยเรื่องนี้กับหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ (Tuoi Tre) ฉบับวันที่พฤหัสบดี (12 ก.ค.)
เจ้าหน้าที่ของญี่ปุ่นกล่าวอีกว่า ระบบรถไฟหัวจรวดชินกันเซ็น N700 เพิ่งจะถูกนำเข้าใช้การในญี่ปุ่นในวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้พิสูจน์ว่าเป็นระบบที่ประหยัดที่สุด เป็นมิตรกับสภาพแวดล้อมมากที่สุด ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กกว่า และ ปล่อยเสียงรวบกวนน้อยที่สุด
นอกจากนั้น ผู้ที่ใช้บริการรถไฟหัวกระสุนรุ่นใหม่นี้จะประหยัดได้มากกว่าการเดินทางโดยเครื่องบิน เนื่องจากค่าโดยสารรถไฟชินกันเซ็นจะเป็นประมาณ 2 ใน 3 ของค่าตั๋วเครื่องบินเท่านั้นในระยะทางเท่ากัน
นอกจากนั้นชินกันเซ็นยังมีความปลอดภัยสูงสุด ที่ผ่านมายังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ นายเอกุชิกล่าว
เมื่อต้นปีนี้นายกรัฐมนตรีเวียดนามเหวียนเติ๋นยวุ๋ง (Nguyen Tan Dung) ได้สั่งการให้กระทรวงขนส่ง เร่งโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสายโฮจิมินห์ ซึ่งมีความยาวเกือบ 2,000 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างกรุงฮานอยกับกรุงไซ่ง่อนเก่า ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจจองภาคใต้ ซึ่งระบบรถไฟในปัจจุบันต้องใช้เวลาเดินทาง 28-30 ชั่วโมง
นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้สั่งการให้กระทรวงดังกล่าววางแผนทำการก่อสร้างทั้งโครงการรวดเดียว โดยไม่แบ่งเป็นช่วงๆ และ ไม่แบ่งระยะเวลาดำเนินการ
รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตกลงจะให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่เวียดนาม รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีทั้งระบบ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้ทุนดำเนินการราว 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่านั้น
ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นได้ลงสำรวจพื้นที่มาตั้งแต่เดือน ก.พ.ปีนี้ และ ในช่วงปลายปีจะร่วมกับเจ้าหน้าที่เวียดนามลงพื้นที่อีกครั้งจัดทำรายละเอียดต่างๆ รวมทั้งศึกษาความต้องการในการเดินทาง ขีดความสามารถในการขนส่งระบบต่างๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ทั้งทางน้ำและทางอากาศ
ขั้นตอนต่อไปจะมีการรวบรวมรายละเอียดจากการศึกษาทั้งหมด นำไปสู่การคิดคำนวณ จัดระบบรถไฟหัวกระสุนสายแรกให้เหมาะสมกับความต้องการในเวียดนาม นายเอกุชิกล่าว
ขณะเดียวกันโครงการรถไฟความเร็วสูงก็กำลังรอรัฐสภา (National Assembly) ผ่านกฎหมายรองรับ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญาใดๆ และ เริ่มการก่อสร้างใดๆ เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นคนเดียวกันกล่าว
สื่อของทางการเวียดนามรายงานก่อนหน้านี้ว่า คณะกรรมาธิการคมนาคมและขนส่งรัฐสภาได้ศึกษาและจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยระบบรถไฟความเร็วสูงมาตั้งแต่ต้นปี คาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในสมัยประชุมปลายปีนี้ เพื่อให้โครงการดังกล่าวเดินหน้าได้ในปี 2551
นายเอกุชิกล่าวว่า การดำเนินโครงการจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับฝ่ายเวียดนามเอง หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนเจ้าหน้าที่ขององค์การเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือ ไจก้า (Japan International Cooperation Agency) จะมาร่วมกับเจ้าหน้าที่เวียดนามเพื่อลงพื้นที่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ขั้นตอนต่อไปคือ การร่างแผนโครงการรถไฟหัวจรวดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขนส่งของประเทศ และให้เข้ากันได้กับบรรดาโครงการพัฒนาระบบขนส่งในเวียดนามทั้งหลายทั้งปวงในขณะนี้
อย่างไรก็ตามบทบาททางเศรษฐกิจของระบบรถไฟหัวกระสุน จะมีความสำคัญอันดับแรกในการพิจารณาจัดทำโครงการ รวมทั้งการจัดทำเส้นทางด้วย
นายเอกุชิกล่าวว่า ญี่ปุ่นเปิดใช้การระบบรถไฟหัวกระสุนครั้งแรกในปี 2507 แต่กว่าระบบจะเชื่อมตรงเข้าสู่ใจกลางกรุงโตเกียวได้ต้องใช้เวลาดำเนินการต่อมาจนกระทั่งปี 2534 เพราะจะต้องแล่นผ่านย่านชุมชนหนาแน่น รวมทั้งค่าก่อสร้างสูงมาก แต่ในเวียดนามคาดว่าจะไม่มีปัญหาเช่นนี้
รัฐบาลเวียดนามตัดสินใจสร้างทางรถไฟความเร็วสูง คู่ขนานไปกับทางรถไฟปัจจุบัน ซึ่งจะพัฒนาให้เป็นรถไฟชุมชน และ เพื่อเชื่อมต่อกับระบบรถไฟของประเทศเพื่อนบ้าน ตามแผนการต่อเชื่อมทางรถไฟสิงคโปร์-คุนหมิง ของกลุ่มอาเซียน
ทางรถไฟในเวียดนามปัจจุบันเป็นระบบรางกว้าง 1 เมตร แต่ระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงจะเป็นเกจ์มาตรฐานกว้าง 1.435 เมตร ให้รถไฟสามารถใช้ความเร็วตั้งแต่ 200-300 กม.ขึ้นไป
คาดว่าเส้นทางรถไฟความเร็วสูงกรุงฮานอย-นครโฮจิมินห์ จะมีความยาวประมาณ 1,600 กม. แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการลงสำรวจพื้นที่จริงของผู้เชี่ยวชาญ ที่กำลังจะเริ่มขึ้น
ทางรถไฟในปัจจุบันขนานไปกับชายฝั่งทะเลเหนือ-ใต้ ได้เคยมีการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเบี่ยงทางรถไฟความเร็วสูงออกจากเส้นทางเดิมช่วงนครด่าหนัง-นครโฮจิมินห์ โดยตัดผ่านเขตที่ราบสูงภาคกลาง
ฝ่ายที่ผลักดันให้เหตุผลว่ารถไฟความเร็วสูงจะนำความเจริญไปยังจังหวัดในเขตที่ราบสูงที่ยังพัฒนาน้อยที่สุด และ ช่วยร่นระยะทางได้กว่า 300 กม.
อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้ตัดสินใจล้มเลิกแนวคิดดังกล่าวหลังจากพบว่าเส้นทางลัดจะตัดผ่านเข้าเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่ยังคงอุดมสมบูรณ์มากในอาณาบริเวณนั้น.


