xs
xsm
sm
md
lg

จับเท็จเจ้าหญิงกำมะลอ!? ทายาท 'องเชียงสือ'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลายสิบปีหลังสงครามในอินโดจีนสิ้นสุดลง.. บรรดาลูกหลานเหลนโหลนของอดีตกษัตริย์พระราชวงศ์ในประเทศต่างๆ เหล่านี้ ได้ทยอยโผล่ขึ้นมาประกาศตัวต่อสังคม บ้างก็จริง บ้างก็เท็จ แค่อุปโลกน์ตัวเองเป็นเชื้อเจ้า แต่หลายกรณีก็เป็นของจริง

ล่าสุด "เจ้าหญิงถิหงะ" (Nguyen Thi Nga) รัชทายาทของจักรพรรดิยาลอง (Gia Long) แห่งราชวงศ์เหวียน หรือ "องเชียงสือ" ไปโผล่ที่เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา!!

ผู้เขียนกำลังจะใช้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่น้อยนิดเพื่อจับเท็จ หวังว่า ท่านที่มีข้อมูลมากกว่านี้ จะได้นำออกมาโต้แย้งเพื่อต่อยอดทางภูมิปัญญาร่วมกัน

องเชียงสือ??? ชื่อนี้ปรากฏอยู่ในหน้าประวัติของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

เป็นยุคที่กำลังมีการสร้างบ้านแปงเมืองในอาณาจักรสยาม แต่เป็นยุคที่แผ่นดินอันนัมเต็มไปด้วยความปั่นป่วน การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ชิงราชบัลลังก์ ในขณะที่มหาอำนาจใหญ่จากยุโรปเริ่มคืบคลานเข้ายึดแผ่นดินเป็นเมืองขึ้น

"องเชียงสือ" อยู่ในศูนย์กลางของความขัดแย้งในครั้งกระโน้น

** ใครคือ พระเจ้าไชยเศรษฐาที่ 2?? **

"เจ้าหญิงถิหงะ" ให้สัมภาษณ์เรื่องราวของเธอในหนังสือพิมพ์ News Miami Times ในสัปดาห์นี้ โดยเล่าว่า เธอถือกำเนิด ปี พ.ศ. 2507 ในกรุงไซ่ง่อน เป็นบุตรีคนหนึ่งของแอ่งโจว (Ang Chau) หรือ เหวียนเฟื๊อกถิหง็อกเวิน (Nguyen Phuoc Thi Ngoc Van) พระชายาของ "กษัตริย์ไชยเศรษฐาที่ 2"!!

เมื่อดูจากปีเกิดแล้ว ปี 2550 คือปีนี้.. เจ้าหญิงถิหงะอายุ 43 ไม่ขาดไม่เกิน และ เธอกำลังพูดถึงบรรพบุรุษ ที่มีอายุอยู่เมื่อ 200-230 ปีก่อน!!

เธอเอ่ยถึงชื่อ แปลกๆ คือ "ไชยเศรษฐาที่ 2" (Chey Setha II) ชื่อลาวปนเขมร!! ซึ่งไม่มีอยู่ในสารระบบของเวียดนาม

เอาละ เราจะเชื่อเธอเอาไว้ก่อน?? เพราะว่าอย่างน้อยที่สุดก็มีอยู่ชื่อหนึ่ง ที่ใกล้เคียงกันมาก ในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย ..

ชื่อที่ว่านั้นก็คือ "พระยาราชาเศรษฐี" (ไชยเศรษฐา ที่ 1 ???) ซึ่งก็คือ "องเชียงชุน" เชื้อพระวงศ์จากอันนัม ที่หลบหนีกบฏไตเซิน (Tay Son) และ เข้ามาถึงกรุงธนบุรีตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

ถิหงะบอกเรื่องคล้ายๆ กันนี้ กับหนังสือพิมพ์ในไมอามี...

เธอกล่าวว่าคุณทวดของเธอ มีชื่อจริงว่า เหวียนฟึกแอง (Nguyen Phuc Anh) เกิดปี พ.ศ.2305 ในยุคที่พวกเหวียนเรืองอำนาจทางภาคใต้ แต่พวกกบฏไตเซิน (Tay Son) ได้เข่นฆ่าสมาชิกครอบครัวทุกคน มีคุณทวดรอดเพียงคนเดียวเพราะมีคนช่วยเหลือ พาหนีระหกระเหิร จนไปถึงอาณาจักรสยาม ตอนนั้นเพิ่งอายุ 14

บวกลบคูณหาร.. คุณทวดเกิดปี พ.ศ.2305 หรือ 5 ปีก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในอาณาจักรสยาม และ ตอนที่หนีพวกกบฏไตเซินมีอายุ 14 ปี ซึ่งก็คือ ปี 2319 กลางรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

ในยุคโน้น เชื้อพระวงศ์จากอันนัมที่มาถึงอาณาจักรสยามก็มีเพียง "องเชียงชุน"!! ถูกต้องทุกประการ

หากคำบอกเล่านี้เป็นความจริง ก็จะต้องบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ไทยว่า ชื่อจริงของ "องเชียงชุน" ก็คือ "เหวียนฟึกแอง" นั่นเอง

** ข้อมูลใหม่ "องเชียงสือ" ไม่น่าจะเป็นทั้งลูกและหลาน **

เรื่องนี้ยังมีความไม่ชอบมาพากลมาก

ในพงศาวดารของไทยนั้น มีชื่ออีกชื่อหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้องเชียงชุน นั่นก็คือ "องเชียงสือ" ขอได้โปรดอ่านเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของไทย ช่วงนี้ให้ดี..

"..องเชียงชุนเป็นอาขององเชียงสือ (คือพระเจ้าเวียดนามยาลอง) องเชียงชุนแตกหนีพวกราชวงศ์เล้ (พวกไตเชิง หรือไกเซิล) เข้ามาอยู่ในเมืองพุทไธมาศ (ฮาเตียน) ต่อจากเมืองตราดออกไป กองทัพไทยไปปราบเมืองพุทไธมาศจับองเชียงชุนได้ ในคราวนั้น องเชียงชุนยอมสามิภักดิ์อยู่กับไทยโดยดี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงเชียงชุน ให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาราชาเศรษฐี เทียบเท่าบรรดาศักดิ์เจ้าเมืองพุทไธมาศ (ปรากฏนามอยู่ในหมายรับสั่ง เรื่องรับและสมโภชพระแก้วมรกต ดูหนังสือเอกสารสำคัญ รวบรวมโดย ศรีชลาลัย ภาค ๑ หน้า ๒๕ พิมพ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย) "

ข้อความตอนที่ยกมานี้ อ้างเอาไว้ในบทความเรื่อง "ปีสุดท้าย ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" โดย ปรีดา ศรีชลาลัย ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๔

สรุปแล้วองเชียงชุนนั้น ไม่ได้มากรุงธนบุรีด้วยตัวเอง แต่ถูกกองทัพไทยจับมาได้ แต่ถึงกระนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็ยังทรงชุบเลี้ยง และพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาราชาเศรษฐี" ... (ไชยเศรษฐา ที่ 1 ????)

แต่ไม่ทราบว่า .. พระเจ้า "ไชยเศรษฐาที่ 2" ที่เจ้าหญิงถิหงะกล่าวถึงนั้นเป็นใคร!!

ทั้งนี้เนื่องจากว่าพระยาราชาเศรษฐี (ไชยเศรษฐาที่1 ??) นั้น ได้ถูกพระเจ้ากรุงธนบุรี สั่งประหารชีวิตพร้อมกับชาวเวียดนามอีกจำนวนมาก ในฐานะเป็นกบฏต่ออาณาจักรสยาม เหตุเกิดในปีสุดท้ายของรัชกาล

เพราะฉะนั้น.. "กษัตริย์ไชยเศรษฐาที่ 2" พระราชบิดาที่เธออ้างถึงจึงไม่ทราบว่าเป็นใคร หรือ เป็นอะไรกับองเชียงสือ เป็นหลานหรือเป็นเหลนโหลน?

ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ไม่มีใครรู้จักทายาทขององเชียงชุน และ ไม่มีทายาทคนใดขององเชียงชุน ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิในเวียดนาม

เอาละ.. เรามาจับผิดเธอต่อ..

เรื่องราวจากปากของถิหงะก็คือ ทวดของเธอ .. องเชียงชุน นั้น ได้ส่งบุตรชายไปลี้ภัยในฝรั่งเศส (ในหน้าประวัติศาสตร์ของไทยไม่ได้กล่าวถึงครอบครัวขององเชียงชุน-- ต้องยกประโยชน์นี้ให้แก่ผู้เล่า) และ บุตรชายคนนี้เวลาต่อมาได้กลับไปกอบกู้บ้านเมือง ก่อนจะทรงปราบดาพิเษกเป็น "จักรพรรดิยาลอง" เมื่อปี ค.ศ. 1802 หรือ พ.ศ. 2345 ซึ่งก็คือในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์

จักรพรรดิยาลอง หรือ องเชียงสือ ทรงสร้างเมืองหลวงของเวียดนามขึ้นที่นครเหว (Hue) หรือ เว้ ในภาคกลางของประเทศ.. ปี 2345 ที่ องเชียงสือ ทรงปราบดาพิเษกนั้น ก็ระบุเอาไว้ตรงกันในพงศาวดารของไทย

ตามข้อมูลในพงศาวดาร องเชียงชุน เป็น "อา" ของ องเชียงสือ พูดอีกทีก็คือ องเชียงสือเป็นลูกของพี่ชายองเชียงชุนนั่นเอง และ องค์เชียงสือก็หนีเข้ามาลี้ภัยในอาณาจักรสยาม คือ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเวลานานหลายปีหลังจาก "พระยาราชาเศรษฐี" หรือ องเชียงชุน ถูกประหารชีวิต

แต่คำบอกเล่าของเจ้าหญิงถิหงะกลับเป็นว่า.. องเชียงสือเป็นบุตรขององเชียงชุน (Nguyen Phuc Anh) ..ดังที่กล่าวมาแล้ว ข้อมูลนี้ขัดกับพงศาวดารของไทย อย่างชัดแจ้ง

บุตรชายเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในดินแดนที่บิดาถูกประหาร?? หรือว่าพงศาวดารของไทยบันทึกผิดๆๆ??

แต่ก็ยังมีประเด็นที่ "มั่วหนัก" กว่านี้อีก เรามาติดตามเรื่องราวมั่วๆ ของเธอต่อ
** ลืมประวัติศาสตร์ช่วงยาว **

ในประวัติศาสตร์ของไทย องเชียงสือ หนีเข้ามาหลบภัย ในปี 2325 ตอนอายุ 33 ปี ต่อมาอีก 5 ปี ซึ่งก็คือปี 2330 ก็ได้หลบหนีกลับดินแดนอันนัม เขียนจดหมายทูลลาพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ขอกลับไปกอบกู้แผ่นดิน และ จะขอสวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรสยามตลอดไป

ปี 2333 กอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จ มีการส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองมาทูลเกล้าฯ ถวาย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 เป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่นั้น

แต่กว่าจะได้ปราบดาภิเษก เป็นจักรพรรดิยาลอง ก็จนกระทั่งปี 2345 .. อีก 11 ปีต่อมา!!

ประวัติศาสตร์ของไทยบันทึกไว้ว่า จักรพรรดิยาลองทรงครองราชย์นาน 18 ปี เสด็จสวรรคตปี พ.ศ. 2363 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รวมพระชนมายุได้ 71 พรรษา

ข้อมูลนี้ตรงเด๊ะ กับประวัติศาสตร์ของเวียดนามเอง..

แต่คำบอกเล่าของเจ้าหญิงถิหงะ ได้ทำให้พงศาวดารของไทยปั่นป่วน!? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถานะภาพ ขององเชียงชุนกับองเชียงสือ

ตามข้อมูลในพงศาวดาร.. องเชียงสือเข้ามาขอลี้ภัยปี พ.ศ.2325 ปีที่สมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ และ ตอนนั้นเชื้อพระวงศ์จากอันนัม อายุได้ 33 .. เมื่อเอาตัว พ.ศ.ตั้ง แล้วเอาอายุเป็นตัวลบ ก็จะได้ความจริงออกมาว่า องเชียงสือเกิดปี พ.ศ.2292

ตามข้อมูลของเจ้าหญิงถิหงะ.. องเชียงชุน (ผู้พ่อ) เกิดปี พ.ศ.2305.. พ่อเกิดหลังลูกชายอยู่ถึง 13 ปี!!

ส่วนอีกทางหนึ่ง.. ตามพงศาวดารของไทย.. "คุณหลาน" คือ องเชียงสือ ก็มีอายุมากกว่า "คุณอา" คือ องเชียงชุน ถึง 13 ปี เช่นเดียวกัน!!

.............................

(ขีดเส้นเว้นวรรคเพื่อหยุดหายใจสักพัก ก่อนจะเล่าเรื่องมั่วๆ แบบนี้ต่อ)

พระราชโอรสจักรพรรดิยาลอง คือ มิงหม่าง (Minh Mang) ได้ขึ้นครองราชย์สืบแทน ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับเวียดนามจากที่เคยเป็นมิตร กลายมาตึงเครียด พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงส่งกองทัพไปปราบ "พวกญวน" หลายครั้ง

ถิหงะไม่ได้พูดถึงประวัติศาสตร์ช่วงที่ยาวนานต่อๆ มา ว่า "พระเจ้าไชยเศรษฐาที่ 2" (Chey Setha II) องค์ที่เล่าให้สื่อในสหรัฐฯ ฟังนั้น ทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่เมื่อใด และ เกี่ยวพันกันอย่างไรกับจักรพรรดิบ๋าวด่าย (Bao Dai) พระเจ้าแผ่นดินองค์สุดท้ายที่ครองนครเหว ก่อนที่เวียดนามจะเข้าสูยุคใหม่ .. ยุคสงครามกับสหรัฐฯ

**ผิดเวลา-ผิดสถานที่**

เจ้าหญิงถิหงะ ยังฟุ้งให้หนังสือพิมพ์ในไมอามีฟังต่อไปอีกหลายเรื่อง ทั้งช่วงที่อยู่ในฝรั่งเศส การปฏิบัติในรั้วในวัง และ ช่วงที่ได้ใช้ชีวิตอย่างเจ้าหญิงจริงๆ ในเยาวัย สนุกกับการไปไหนมาโดยมีผู้คนห้อมล้อมมากๆ

.. และ ที่มีความสุขมากก็คือ การได้ล่องเรือชมสองฝั่งของ "ลำน้ำหอม" หรือ แม่น้ำเฮือง (Huong) ของนครเหว!!

เจ้าหญิง เกิดในกรุงไซ่ง่อนที่อยู่ภาคใต้ ครอบครัวย้ายไปลี้ภัยอยู่ฝรั่งเศส แต่เธอมีความสุขกับการล่องแม่น้ำเฮือง (ในภาคกลาง) ของนครเหว?? ในภาวะที่ประเทศชาติกำลังมีสงครามอยู่รอบตัว!!

ชักจะเพี้ยนไปใหญ่.. แต่พวกฝรั่งที่ไม่รู้เรื่องพยักหน้ารับ ด้วยความภาคภูมิใจที่ได้ฟังเรื่องราว อันเป็นเสมือนหลักฐานชั้นต้นทางประวัติศาสตร์!!


เจ้าหญิงถิหงะ เกิดปี 2507.. เอาละ.. สมมุติว่าเธอมีโอกาสได้อยู่ในพระราชวังหลวงของราชวงศ์เหวียน ที่นครเหวจริงๆ และ ได้ล่องเรือในแม่น้ำหอมจริงๆ ตอนที่เธอจะสามารถ "มีความสุขกับการล่องแม่น้ำได้" นั่นก็คือ เมื่อเริ่มจำความได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นประมาณปี พ.ศ. 2510-2511 ตอนที่อายุได้สัก 4-5 ขวบ

แต่โชคร้ายจริงๆ.. เรื่องที่เธอพูดถึง ไม่มีวันเกิดขึ้นได้!!

จักรพรรดิบ๋าวด่าย (Bao Dai) พระเจ้าแผ่นดินพระองค์สุดท้ายในเวียดนาม (ที่สหรัฐฯ อัญเชิญให้เสด็จกลับจากกรุงปารีส ไปครองราชบัลลังก์ที่เมืองเหวต่อ) ได้สละบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2498 หลังจากมีการลงประชามติหลอกๆ ที่อำนวยการโดยสหรัฐฯ

กล่าวคือ อเมริกาโค่นสถาบันกษัตริย์ หลังจากเห็นว่าใช้ประโยชน์ไม่ได้อีกแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครได้อยู่ภายในพระราชวังหลวงอีก ที่นั่นกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปในบัดดล

เวียดนามภาคใต้ซึ่งครอบคลุมขึ้นไปถึงนครเหว กลายเป็น "สาธารณรัฐเวียดนาม" มีโหงะดิ่งซเวียม (Ngo Dinh Diem) หรือ "โงดินเดียม" หากเรียกขานตามก้นพวกฝรั่ง.. เป็นประธานาธิบดี มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ในกรุงไซ่ง่อน

ส่วนในภาคเหนือตั้งแต่ จ.กว๋างจิ (Quang Tri) ขึ้นไปได้กลายเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม หรือ เวียดนามเหนือ ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งนำโดยโฮจิมินห์

ปี พ.ศ.2507 (ปีที่ถิหงะเกิดในกรุงไซ่ง่อน) อยู่ในช่วงปีที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดกงเริ่มรุกคืบในภาคกลางลงสู่ภาคใต้ ในนครเหวก็เต็มไปด้วยกองกำลังกองโจร

ปี พ.ศ.2511 เป็นปีที่เจ้าหญิงถิหงะ ควรจะได้ล่องเรือในความฝันไปตาม "แม่น้ำหอม" ถ้าหากฝ่ายเวียดกงไม่เปิดฉากบุกฐานทัพสหรัฐฯ และเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ที่เรียกว่า "การรุกใหญ่วันตรุษ" (Tet Offensive) เริ่มในวันที่ 31 ม.ค. ของปีนั้น!!!

คำให้การของเจ้าหญิงถิหงะช่างกำมะลอสิ้นดี !?

แล้วเจ้าหญิงคนนี้เป็นใคร ประกอบสัมมาอาชีพอะไร จึงได้มีเงินใช้จ่ายอย่างเหลือเฟือ เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นว่าเล่น??

ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า ถิหงะ ไปอยู่ในสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อไร หัวนอนปลายเท้าที่แท้จริงเป็นอย่างไร

เธอเล่าแต่เพียงว่า ครอบครัว ซึ่งหมายถึงบิดา (พระเจ้าไชยเศรษฐาที่ 2 ???) กับมารดาเหวียนเฟื๊อกถิหง็อกเวิน ในชื่อ "เจ้าชายกับเจ้าหญิงอึงถิ" (Prince & Princess Ung Thi) ได้หนีออกจากกรุงไซ่ง่อนเมื่อปี 2518 ก่อนที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์จะยึดเมืองได้

เธอเติบโตขึ้นในปารีส จากนั้นก็ไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงปารีสกับนครนิวยอร์ก และในที่สุดก็ไปตกหลุมรักเมืองไมอามี ก็เลยขอปักหลักทำงานการกุศลอยู่ที่นั่น

ตามรายงานของ News Miami Times ไม่ว่า ถิหงะ จะเยื้องย่างไปที่ใด ผู้คนจะเรียกเธอว่า "เจ้าหญิง" เสมอ หลายคนทักทายด้วยคำขึ้นต้นว่า "Your Royal Highness" แต่บางคนเคร่งยิ่งกว่านั้น ใช้คำนำหน้าการสนทนาว่า "Your Supreme Highness" สำหรับอีกบางคนถึงขั้น "Your Imperial Highness" เลยทีเดียว

นักข่าวเองก็เขียนถึงเจ้าหญิงถิหงะ ด้วยความชื่นชม

เอ.. หรือว่า สิ่งที่เธอพูดถึงนี้ เป็นความจริง!? หรือว่าถึงคราจะต้องปรับปรุงแก้ไขประวัติศาสตร์ยุคกรุงธนบุรี-กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นกันเสียใหม่!!
กำลังโหลดความคิดเห็น