มายเฟืองถวี (Mai Phuong Thuy) มิสเวียดนามปี 2549 กำลังตกเป็นขี้ปากอีกครั้ง หลังการประกวดผ่านไปข้ามปี ข้อมูลล่าสุดยืนยันว่าหากวัดกันด้วยด้านอื่นๆ นอกจากความงามแห่งสรีระแล้ว เธออาจจะดูแย่กว่าที่แฟนๆ เคยรู้จัก และดูจะด้อยกว่าลือว์บ่าวแอง (Lu Bao Anh) รองอันดับ 1 ของเธออีกด้วย
พวกเศรษฐีใหม่โฮจิมินห์นั้นไม่ธรรมดา พวกนี้จะคอยจับตาความสวยความงามทุกชนิดที่แวบผ่านตรงหน้าไป ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ต หรือหญิงสาว เว็บล็อกของพวกเขาในช่วงนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่ยังไม่เคยมีใครเล่ามาก่อนเกี่ยวกับ Miss Vietnam กับรองอันดับ 1
การประกวดในเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว ผลออกมาค้านสายตามหาชน รวมทั้งตาของสายจำนวนหนึ่งที่บังเอิญได้เห็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง สาวงามที่เข้าประกวดค่อนข้างทะลุโปร่ง
ก็เลยเป็นที่มาของเสียงซุบซิบกันให้แซดว่า จริงๆ แล้ว มิสเวียดนาม ตัวด๊ำ..ดำ สะโพกใหญ่ ท้ายแบน ตาตี่ ฟันซี่โต และ โตงเตง...
“ดียังไงน้องดำ.. มายเฟืองถวีจึงได้เป็นมิสเวียดนาม?” นี่เป็นหัวข้อหนึ่งที่มีการถกเถียงกันอย่างสูง ซึ่งทำให้พวกกองเชียร์แทบจะลดธงและถอยร่นไม่เป็นขบวน
“ทำไมต้องเลือกหญิงขี้อิจฉาคนหนึ่งเป็นตัวแทนของสาวเวียดนามทั้งประเทศ อกก็ไม่สวย สะโพกใหญ่เบอะ ก้นแบน” นี่ก็เป็นคำถามที่เสียดแทงหัวใจของคนรักใคร่ชอบพอกัน
ข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่า มายเฟืองถวี เป็นสาวงามคนแรกที่มีผิวออกน้ำตาลๆ ดูหมองๆ แต่มีโอกาสฝ่าด่านไปถึงรอบท้ายๆ ช่วงที่กำลังมีการสรรหาสาวงามจากภาคเหนือไปประกวด Miss Vietnam ปีที่แล้ว และเธอก็ได้ตำแหน่งอันมีเกียรตินี้ในที่สุด
“ฟันซี่โต ยิ้มไม่สวยเลย” นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ไม่เคยมีใครกล้าพูดคุยมาก่อน แต่ตอนนี้หลายอย่างเริ่มโผล่ออกมาค้านความรู้สึกของแฟนๆ
ต้องย้อนกลับไปดูข้อเท็จจริงทางสังคมกันหน่อย
สาวชาวเหนือนั้นได้ชื่อว่ามีผิวขาวผ่องนวลเนียนมาก ธรรมชาติแต่งแต้มให้ผิวพรรณออกมาขาวอมชมพูเรื่อ โดยไม่ต้องใช้เครื่องประทินโฉมใดๆ นี่คือ สิ่งที่ธรรมชาติช่วยให้สาวๆ นางแบบจากภาคเหนือของประเทศ เอาชนะสาวชาวใต้ได้ไม่ยากเย็น ในการประกวดบนเวทีแฟชั่นต่างๆ นับครั้งไม่ถ้วน
คุณสมบัตินี้ไม่มีอยู่ในตัวสาวฮานอยอย่าง มายเฟืองถวี แต่มีอย่างล้นเหลือในลือว์บ่าวแอง คู่ปรับบนเวที Miss Vietnam ซึ่งเป็นชาวใต้
ครอบครัวของบ่าวแองเป็นชาวนครเกิ่นเธอ (Can Tho) ในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง ผู้คนในภูมิภาคนั้นของประเทศ จะมีผิวคล่ำลง อันเนื่องมาจากแดดจ้าและแรงลม กับขุ่นโคลนในแม่น้ำ
แต่สาวบ่างแองนั้นขาวผ่อง เพราะเธอเป็นทั้งแอม ทั้งหมวย เธอเป็นลูกครึ่งจีน ซึ่งประเด็นนี้เป็นที่ประจักษ์ บ่าวแองจะดูโดดเด่นที่สุดบนเวที ไม่ว่าจะสวมใส่ชุดใด หรือ ประกวดรอบไหนๆ
แต่การประกวดบนเวทีระดับชาติก็ยังมีมากกว่าเรื่องผิว
เฟืองถวี ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นน้องดำ ในสายตาของพวกมังกรโฮจิมินห์ เธออาจจะเป็นรองในเรื่องขาว-ไม่ขาว แต่เธอมีอะไรหลายอย่างที่ชนะสายตากรรมการ ไม่ว่าจะเป็นความสูงโย่ง 179 ซม. ทรวดทรงอะร้าอร่าม จมูกที่เป็นสันโด่ง กับหน้าตาที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่
เมื่อกรรมการบนเวทีถามว่า มั่นใจแค่ไหนในเรื่องมงกุฎมิสเวียดนาม เฟืองถวี๊ตอบชัดเจนว่า “100% ค่ะ”
แต่ที่เมืองญาจาง (Nha Trang) จ.แค๊งหว่า (Khanh Hoa) เฟืองถวี ได้พบบ่างแองที่นั่น เธอรู้ได้ทันทีว่า เจอคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดแล้ว เฟืองถวีปรายตามองบ่าวแองอย่างหวาดระแวงเสมอๆ ระหว่างที่สาวงามออกทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ
“ทุกครั้งที่เปลี่ยนชุดหลังเวที เฟืองถวีจะจ้องเขม็งไปทางบ่าวแอง ดูว่ามีอะไรเหนือกว่าเธอหรือเปล่า” ผู้ที่อ้างตัวเป็นนักข่าวผู้โชคดีคนหนึ่งเขียนเอาไว้บนเว็บ
“สองคนนี่แทบจะไม่คุยกันเลย ดิฉันไม่รู้ว่าไม่ชอบกันหรือเปล่า แต่พวกเธอทำราวกับว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ” นักข่าวสาวรายเดียวกันสาธยายต่อ
อย่างไรก็ตาม เฟืองถวีไม่ใช่คู่แข่งที่บ่าวแองจะเอาชนะได้ง่ายๆ เหมือนกัน
ตอนที่ขึ้นเวทีเฟืองถวี เพิ่งอายุ 18 ส่วนบ่าวแอง 24 ปีแล้ว (แต่บางคนก็ค้านว่า ..โฮ้ย.. อายุไม่เกี่ยวและไม่ได้แก่ด้วย ก็แค่เด็กนักศึกษาปี 4 เท่านั้นเอง)
แองค่อนข้างอาภัพกว่า ด้านภาพลักษณ์การศึกษา แต่มิได้หมายความว่าเธอไม่ได้เรียนหนังสือ เพียงแต่เธอเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน จึงดูไม่หวือหวา เทียบไม่ได้กับถวี ที่เรียนโรงเรียนดีมาตลอด ตอนขึ้นเวทีก็มีศักดิ์ศรีเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยการค้าต่างประเทศกรุงฮานอย
นอกจากภาษาเวียดนามแล้ว บ่าวแองพูดภาษาจีนคล่องปรื๋อ เพราะมีคุณแม่เป็นครูสอน ส่วนเฟืองถวี ภาษาอังกฤษลื่นไหลพูดไวปานจรวด
แต่นอกจากเรื่องนี้บ่าวแองเพอร์เฟกต์ทุกอย่างสำหรับพวกกองเชียร์หลังฉาก
ผิวของเธอขาวผ่องโดดเด่นที่สุด (อีกที) นัยน์ตาของเธอเบิกกว้างไม่หรี่เล็กเหมือนนัยน์ตาของเฟืองถวี เล่าเต๊งก็ดีกว่า เรียวปากของเธองามอย่างสมบูรณ์ จมูกไม่โด่งมากแต่ก็มีสันงดงาม กลมกลืนกับส่วนอื่นๆ ของใบหน้าอย่างลงตัว แบบไม่มีขาดไม่มีล้น
บ่าวแองดูงามบาดใจมากกว่า ฟืองถวี เพียงแต่ไม่ออกลุค “เมืองนอกๆ” ซึ่งเป็นเทรนด์สำหรับสาวเวียดนามปัจจุบัน
การประกวดความงามของประเทศเมื่อปีที่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะผ่านด่านได้ง่ายแบบหมูๆ เลย
ไม่แต่เฉพาะบ่าวแองกับเฟืองถวี ที่เป็นสาวโย่งหุ่นสวย ยังมีสาวก้านยาวอีกหลายคนเข้าประกวด หลายคนสูง 175 หรือ 177 ซม. เพียงแต่อย่างอื่นอาจจะไม่โดดเด่นพอเท่านั้น
การประกวดชิงตำแหน่งข้างเคียงต่างๆ หรือ ระหว่างการออกทำกิจกรรมต่างๆ สายตาทุกคู่จึงจ้องจับไปที่สาวเหนือกับสาวใต้คู่นี้
หลังจากนับคะแนนในใจมาตลอด หลายคนเชื่อว่า คนหนึ่งในสองคนนี้จะเป็นมิสเวียดนาม ส่วนอีกคนจะเป็นรอง ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น ซึ่งต่อมาก็เป็นเช่นนั้นทุกประการ
“เวรกรรมจริงๆ” สายข่าวหญิงที่ตาเป็นกุ้งยิงไปพักใหญ่เขียนในเว็บของพวกมังกรหนุ่ม
เธอบอกว่า บ่าวแอง กับ เฟืองถวี ถูกจัดให้พักห้องเดียวกัน ชอบถอดชุด และนุ่งชั้นในอวดกัน และแล้วในวันหนึ่งเรื่องก็เล็ดลอดออกจากห้องอย่างมีปริศนา ตกเป็นเรื่องซุบซิบในแวดวงนางงาม ตลอดเดือนแห่งการประกวด
“บ่าวแองตู่มตู้ม.. แต่เฟืองถวีโตงเตง” สายข่าวคนเดียวกันกล่าว โดยที่ไม่มีใครรู้เท็จจริงจะเป็นอย่างไร และ คนเขียนไปแอบเห็นตอนไหน
แต่กรรมการตัดสินก็มีความเห็นต่างกันไป
กรรมการคนที่เป็นแรงหนุนสำคัญที่สุดสำหรับเฟืองถวี คือ จ่า-ซยาง (Tra Giang) บอกว่า “เธอดูทันสมัยอย่างสนใจทีเดียว”
ส่วนกรรมการเสี่ยวหวา (Dieu Hoa) ที่หนุนบ่าวแองสุดตัว ก็ฟันธงเลยว่า “เธอเป็นแบบอย่างของสตรีผู้มีคุณสมบัติแห่งความซื่อสัตย์และเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของครอบครัว”
เฟืองถวีเป็นชอยส์เลือกสำหรับคนที่ชอบสาวเปรี้ยวอินเทรนด์ แต่บ่าวแองเป็นตัวอย่างของความสวยแบบจารีต งามง่ายๆ ไม่ต้องรังสรรค์ปั้นแต่งมากมาย นั่นคือ แบบอย่างของหญิงสาวชาวเวียดนามทั่วไป
สายข่าวที่มีประสบการณ์ตรง ได้เข้าร่วมในกองประกวดเล่าว่า สำหรับสาวงามต่างๆ การประกวดไม่ใช่งานเบาๆ เลย ที่รีสอร์ทหรูวินาเพิร์ล บนเกาะห่อนหง็อกเหวียด (Hon Ngoc Viet) พวกเธอพักในห้องราคาแพง หรูทั้งภายในและภายนอก รับประทานอาหารมื้อละ 23 ดอลลาร์ (ขณะที่นักข่าวมีโควตามื้อละ 3 ดอลลาร์เท่านั้น)
แต่สาวสวยทุกคนต้องตื่นนอนแต่ก่อนไก่โห่ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ต้องถูกกล้องนับสิบๆ ตัวจับจ้องอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งพวกกล้องภาพนิ่งที่ชอบสอดส่ายเลนส์ซูม คอยจับภาพหลุดๆ ของสาวสวย มันทำให้ต้องระวังตัวแจ และ ทำให้เครียด ขณะที่จะต้องพยายามทำหน้าตาให้ยิ้มแย้มดูสดชื่นอยู่เสมอ มันเป็นภารกิจที่ทำเอาเหนื่อยอ่อนไปหมด
ก็จึงไม่แปลกที่ผู้ชมถ่ายทอดสดทางบ้าน ได้เห็นสาวงามบางคนเป็นลมล้มพับคาจอ เมื่อได้ทราบข่าวดีเกี่ยวกับผลการประกวดชิงรางวัลข้างเคียงต่างๆ เธอดีใจเกินขนาด
แต่บางคนก็เป็นลม ช็อกหมดสติไปเพราะตกใจเกินขนาด
เพราะฉะนั้น วันๆ จึงผ่านไปพร้อมกับความเครียดที่พอกพูน ที่เห็นพวกเธอยิ้มแย้มเข้าหากันนั้น ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ยิ้มจริงหรือยิ้มหลอก หรือยิ้มอย่างหวาดระแวง แบบมายเฟืองถวี
พอตกเย็นที่เกาะห่อนหง็อกเหวียด หรือ “ไข่มุกแห่งเวียดนาม” นักข่าวจะจับกลุ่มกันวิจารณ์ท่าทีของสองคู่ปรับสาวเหนือกับสาวใต้คู่นี้
นักข่าวบางคนบอกว่า กรรมการกงเค (Cong Khe) จาก จ.ห่ายาง (Ha Giang) ในภาคใต้ย่อมจะโหวตให้กับสาวชาวใต้อย่างบ๋าวแองแน่นอน เพราะบุคคลิกของเฟืองถวี ขัดกับค่านิยมของชาวห่ายาง ที่ยังยึดถือค่านิยมแบบจารีตสูงมาก
นักข่าวบางคนทุบโต๊ะ พร้อมยกธงเชียร์บ่าวแองมาแต่ยกแรกๆ โดยไม่สนใจหน้าตาของเฟืองถวี กับดีกรีนักศึกษา ม.การค้าต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม เวลาต่อมาเฟืองถวีได้ตะแนนโหวตทางอินเทอร์เน็ตอย่างท่วมท้น ทำให้เห็นได้ชัดว่า บ่าวแองกำลังใจเริ่มหายหด
ในที่สุด รางวัลใหญ่ก็ไปออกที่มายเฟืองถวี เธอได้รับเงิน 80 ล้านด่ง กับเงินก้นถุงอีก 20,000 ดอลลาร์ เพื่อเดินทางไปประกวด Miss World 2006 ที่ประเทศโปแลนด์
ลือว์บ่าวแอง ได้ 40 ล้านด่ง เป็นค่าตอบแทนความเหนื่อย และเป็นค่าลุ้น เธอได้มอบเงินทั้งหมดเข้าการกุศล ส่วนเฟืองถวีแบ่งปันเงินรางวัลให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งเพียงน้อยนิด
“หนูยังเป็นนักศึกษา ยังมีเรื่องต้องใช้จ่ายส่วนตัวอีกเยอะค่ะ” นี่เป็นคำตอบ เมื่อถูกถามว่า เพราะเหตุใดนางงามเวียดนามจึง “เหนียว” จังเลย
ตอนที่เหวียนถิเฮวี่ยน (Nguyen Thu Huyen) รุ่นพี่ของเฟืองถวี ที่ไปประกวด Miss World เคยนำเสื้อผ้าติดตัวไปไม่กี่ชุด เฟืองถวีอัดไปจนกระเป๋าแทบปริ จนต้องเปิดออกนับจำนวนชิ้นส่งกลับบ้านส่วนหนึ่ง เพราะน้ำหนักเกินตอนขึ้นเครื่องไปยังกรุงวอร์ซอ
เหวียนถิเฮวี่ยน เคยถูกกรรมการถามบนเวทีประกวด Miss World 2004 ว่า “คุณได้ได้เรียนรู้อะไรจากการเดินทาง” เธอตอบว่า “ดิฉันได้เรียนรู้ว่าดิฉันเองยังจะต้องเรียนรู้อีกมาก”...ติดตามด้วยเสียงปรบมือดังกึกก้องจากผู้ชมนับหมื่น
มายเฟืองถวีเอง ก็บอกกับใครต่อใครว่า เธอเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากทีเดียว จากการเข้าร่วมประกวด Miss Vietnam และ Miss World เมื่อปีกลายนี้
จากเด็กกำพร้าบิดาที่ไม่มีใครรู้จัก เฟืองถวีได้กลายเป็นสัญลักษณ์ และตัวแทนแห่งความงามของหญิงสาวชาวเวียดนาม เธอกำลังจะต้องเรียนรู้ด้านที่เป็นปัญหาต่างๆ ของชัยชนะในเวลาข้างหน้า
เสียงซุบซิบได้ทำให้แฟนๆ ในเวียดนามรู้จักเธอมากขึ้นเช่นเดียวกัน
และที่สำคัญเมื่อสวมหัวโขนแล้วก็ต้องพร้อมจะปะทะกับแรงเสียดทานต่างๆ ต้องพร้อมที่จะเต้นไปตามจังหวะที่สังคมเป็นฝ่ายกำหนด.
**คลิกปุ่ม Multimedia ชมวิดีโอคลิปการให้สัมภาษณ์รอบสุดท้ายของคู่ชิง Miss Vietnam 2006 **