xs
xsm
sm
md
lg

Peter Yarrow สร้างหนังสงครามเวียดนามอีกเรื่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<CENTER><FONT color=#3366ff> ในวันนี้ พีท ยาร์โรว์ ก็ยังไม่ละทิ้งกีตาร์กับเสียงร้องที่ทรงพลังในการใฝ่หาสันติภาพ </FONT></CENTER>

คนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จักกับ ปีเตอร์ ยาร์โรว์ (Peter Yarrow) แต่อย่างน้อยก็อาจจะรู้จักกับเพลง Puff the Magic Dragon เรื่องราวของเจ้ามังกรน้อยแสนซน ที่ซุกซน จนไม่มีเพื่อนคบค้าสมาคมด้วย

เพลงมีท่วงทำนองที่ร่าเริง เนื้อหาแฝงด้วยคติสอนใจสำหรับเด็กๆ (และผู้ใหญ่ด้วย) จึงโด่งดังระเบิด

นี่เป็นผลงานของ พีท ยาร์โรว์ กับคณะสามสหายของเขา

หลายคนอาจจะไม่รู้จักเพลงนี้ แต่ก็น่าจะรู้จัก หรือเคยได้ยินได้ฟัง เพลงโฟล์กเก่าๆ อย่าง 500 Miles, Blowin' in the Wind, If I had a Hammer, Lemmon Tree หรือ Leavin' on the Jet Plane ซึ่งเพลงหลังนี้โด่งดังมานานหลายทศวรรษ ก่อนที่คนรุ่นใหม่จะรู้จักในอีกเวอร์ชันหนึ่ง ประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Armageddon

ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นงานผลงานร้อง และประสานเสียงอันโด่งดังในช่วง 10 ปี ที่พีทกับสมาชิกอีก 2 คน อยู่ร่วมกันในวง Peter, Paul and Mary

พวกเขาซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นคุณตาคุณยายกันไปหมดแล้ว เคยโด่งดังอย่างสุดขีดทั้งในช่วงสงครามเวียดนาม และหลังจากนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Blowin' in the Wind นั้น เวอร์ชันของ P, P & M โด่งดังไม่แพ้ของ บ๊อบ ดิแลน (Bob Dylan)

นักศึกษาและนักเคลื่อนไหวการเมืองในยุคโน้น นำเพลงของ Peter, Paul & Mary ไปใช้เป็นเพลงสัญลักษณ์ ในการต่อต้านสงครามเวียดนามอย่างกว้าง

“The answer, my friends.. is blowin' in the wind.. The answer is blowin' the wind..” นี่คือ วรรคทองของเพลง
<CENTER><FONT color=#3366ff> ปีเตอร์ พอล และ แมรี่ ในช่วงทศวรรษที่ 60s และ 70s พวกเขาร่วมเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสงครามเวียดนาม </FONT></CENTER>
จากการเป็นศิลปินชั้นแนวหน้าผู้ใฝ่หา และต่อสู้เพื่อสันติภาพ ต่อต้านการทำสงครามในเวียดนามของประเทศสหรัฐอเมริกา บัดนี้ พีท กำลังจะสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่ เป็นภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ที่สะท้อนการต่อสู้และความยากลำบากของนายทหารคนหนึ่งในท่ามกลางสงคราม ตลอดจนผลพวงที่ติดตามมา

พีท เดินทางเข้าเวียดนามในเดือน ก.ย.2548 เขาได้เปิดการแสดงคอนเสิร์ตขึ้นในนครโฮจิมินห์ แต่นั้นมาก็เริ่มเก็บข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสงคราม จนกระทั่งเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว

หนังเรื่องแรกของเขา คือ Legacy of Daniel เข้าฉายในสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ต้นเดือน เพื่อดูฟีดแบ็กของผู้ชมก่อนจะเปิดตัวหนังเรื่องใหม่

แดเนียล เป็นผู้ที่หวาดกลัวสงคราม เขาเป็นคนที่บอกเล่าเกี่ยวกับความหวาดกลัวของชาวอเมริกัน ในยุคโน้น ที่ไม่อยากจะให้รัฐบาลประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ส่งลูกหลานของพวกเขาไปตายในดินแดนที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก ซึ่งได้เกิดผลต่อเนื่องติดตามมาอย่างมากมาย
<CENTER><FONT color=#3366ff> วันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันชั่วนิรันดร ทั้งสามยังคงนัดแจมกันอยู่เป็นระยะๆ </FONT></CENTER>
ภาพยนตร์ของ พีท อาจจะไม่โด่งดังเท่ากับภาพยนตร์สารคดีของไมเคิล มัวร์ เรื่อง 9/11 เมื่อปี 2547 ที่สะท้อนเหตุการณ์ถล่มอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์ก แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะทำด้วยใจรักและเป็นการสะท้อนข้อมูลอีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับสงครามและผลพวงของมัน

ภาพยนตร์สารคดีเรื่องใหม่นี้เปิดฉากขึ้น โดยฉายภาพของเด็กๆ ในเวียดนามที่พิกลพิการจาก “ฝนเหลือง” หรือ Agent Orange นับหมื่นๆ ตัน ที่สหรัฐฯ โปรยลงในประเทศนั้น และส่งผลกระทบต่อผู้คน รวมทั้งสภาวะแวดล้อม ตลอดช่วงเวลา 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมา สลับกับภาพการเดินขบวนต่อต้านสงคราม และการปราศรัยครั้งต่างๆ ของประธานาธิบดีนิกสัน

พีท บอกว่า ภาพยนตร์สารคดีของเขาไม่ได้ว่าอะไรใคร แต่จะมุ่งส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศในยุคใหม่

ตอนนี้ พีท กำลังตัดต่อภาพยนตร์ของเขา โดยมีแผนจะนำออกฉายระหว่างที่ออกรณรงค์ ระดมทุนเข้ากองทุน เพื่อการพัฒนาและสมานฉันท์ หรือ FRD (Fund for Reconciliation and Development) ทั้งนี้ เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ (Tuoi Tre)

ตอนที่เข้าเวียดนามเมื่อ 2 ปีก่อน พีท ยังได้ไปเยี่ยมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบจากฝนเหลือง และเปิดการแสดงคอนเสิร์ตอีกหลายรอบเพื่อระดมเงินเข้ากองทุน FRD เขาวางแผนจะกลับไปเวียดนามอีกครั้งในเดือน เม.ย.ที่จะถึงนี้

เด็กๆ เวียดนาม อาจจะไม่รู้จักพีทหรอก แต่ในโรงเรียนหลายแห่งคุณครูก็สอนให้เด็กร้องเพลง Puff the Magic Dragon.
กำลังโหลดความคิดเห็น