หญิงสาวในเวียดนามจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวใต้ได้แห่เข้ากรุงฮานอยไปสมัครเป็นหมอนวดแผนโบราณ เข้ารับการอบรมก่อนจะออกปฏิบัติงาน แต่พวกเธอมักไปลงเอยที่ขายบริการทางเพศ เนื่องจากถูกบีบคั้นจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และ จากสถานประกอบการเอง
เมื่อเศรษฐกิจของเมืองหลวงเจริญเติบโตขึ้นเคียงบ่าเทียมไหล่นครโฮจิมินห์ในภาคใต้ ผู้คนพบช่องทางทำมาหากิน คนขี้เมื่อยก็เพิ่มทวี สถานบรรเทาอาการเมื่อยขบก็จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
แต่แล้วกรุงฮานอยก็ไม่ใช่สวรรค์ของหมอนวดสาวชาวใต้ สถานประกอบการเก็บค่าบริการจากลูกค้ากระเป๋าหนักหลายแสนด่ง แต่น้องหมอจะได้รับเงินส่วนแบ่งเพียงกระจ้อยร่อย ขณะที่ค่าห้องพัก ค่าอาหารและค่าใช้จ่ายจิปาถะสูงลิ่วในเมืองหลวง
ทางออกก็คือ พวกเธอต้องทำไซด์ไลน์กับแขกกระเป๋าหนัก แต่ก็มิวายมาม่าซังตามไปเก็บค่าต๋งจากหยาดเหงื่อแรงงานอีกเด้ง
เรื่องราวอันน่าเอน็จอนาถในสังคมนี้ นี้ถูกนำไปเผยแพร่โดยเวียดนามเอ็กซ์เพรส สำนักข่าวภาษาเวียดนาม แต่ชื่อฝรั่ง
นักข่าวของเวียดนามเอ็กซ์เพรสลุยถึงโรงนวดเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ถนนหว่อง (Vong) กรุงฮานอย เวลา 3-4 ทุ่ม หนุ่มๆ ขี้เมื่อยจะไปแถบนั้นกันคับคั่ง แน่นอนหลายคนหลบแม่บ้าน เพื่อไปมองหาสาวชาวใต้หน้าตาจิ้มลิ้ม พูดจาไพเราะ ถูกใจสักคน
ทำไมต้องเป็นสาวชาวใต้? เกจิผู้หนึ่งบอกกับสาวกผ่านทางเว็บล็อกดังนี้..
"ก็เพราะพวกเธอทำงานหนักกว่า แข็งแรงกว่า ทรวดทรงองค์เอวก็ดูดีกว่าสาวเหนือ ที่เอาแต่ถนอมผิวเนียน อรชรอ้อนแอ้น แต่ขี้โรค!?"
ในสายตาของหนุ่มฮานอย สาวชาวใต้สวยแบบมีน้ำมีนวลกว่าสาวเหนือ และ ที่เด็ดขาดกว่านั้นคือ สาวใต้พูดจาไพเราะกว่าสาวเหนือ เพราะสำเนียงของชาวใต้ อ่อนหวานกว่าชาวเหนือ ว่าเข้าไปโน่น..
"เชิญพี่ๆ หยุดแก้เมื่อยก่อนนะคะ.." ได้ยินเสียงของพวกเธอเท่านั้นแหละ มังกรหนุ่มที่ตั้งใจแวะจอดรถมอเตอร์ไซค์คันหรู ทำชะโงกทัวร์ ก็แทบจะหัวใจหยุดเต้น
เมื่อคนที่บ้านพูดจาไม่เข้าหู ผ่านไปแถวนั้นได้ยินแต่เสียงทักทายที่ไพเราะ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะเกิดอาการเกร็งขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
ขณะที่หนุ่มขี้เมื่อยกำลังช็อกอยู่นั้น มาม่าซังก็จะฟอลโลว์อัพไม่รีรอ รีบยึดกุญแจมอเตอร์ไซค์ คว้าหมับที่ข้อมือก่อนจะทำท่ากระซิบกระซาบใกล้ๆ ใบหูว่า "ค่าบริการกับค่าทิปน้องๆ แค่ 100,000 ค่ะ แต่พี่เป็นลูกค้าประเดิมคืนนี้ ลดให้พี่เหลือแค่ 80,000 ค่ะ"
โดยไม่รอให้ทันตั้งตัวติด ณ บัดดล มาม่าซังจะจูงมือลูกค้าไก่อ่อน เข้าสู่คูหา รูดม่านให้เสร็จสรรพ ทั้งหมดเป็นปฏิบัติการสายฟ้าแลบ
กว่าหนุ่มๆ จะรู้สึกตัวอีกทีก็มีมือนุ่มนิ่มมาลูบแขนลูบไหล่ เจ้าของมือคู่นิ่มเป็นสาวชาวใต้ ที่สำเนียงไพเราะเสนาะหู
เจอดาบที่ 3 เข้าหนุ่มๆ เมืองกรุงก็ถึงกับระทวย ลืมเงินในกระเป๋าไปสิ้น รายไหนก็รายนั้น
น้องหมอถูกสถานประกอบการเสี้ยมสอนให้จู่โจมก่อนที่ลูกค้าจะไหวตัวทัน พวกเธอจะลงมือนวดทั่วๆ ไป ตามไหล่ ลำคอ ลำแขน แบบเบสิกๆ ใช้เวลาแค่ 5-10 นาที ก่อนจะป้อนคำถามทีละชุด ซึ่งมักจะเริ่มจากง่ายๆ ว่า "จะให้แอมนวดข้างหน้าหรือข้างหลังก่อนคะ?"
คำถามเช่นนี้ เปิดช่องหายใจให้หนุ่มขี้อายบางราย ได้มีโอกาสตั้งหลัก ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ละอ่อนหลายคนเพิ่งจะเข้าโรงนวดเป็นหนแรกในชีวิต หลังจากรู้ว่าตัวเองเริ่มมีตังเหลือใช้
หลังจากนวดจนกระทั่งลูกค้าหนุ่มเกร็งไปทั้งตัวแล้ว คำถามที่ระทึกที่สุด.. ก็ติดตามมา
"แอมนวดจนทั่วแล้ว มีจุดไหนที่ยังไม่หายเมื่อยอีกหรือเปล่าคะ?"
"อยากจะให้แอมนวดหรือทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?"
"พี่อยู่กับแอมต่อสักพักได้มั๊ยคะ ทิปให้แอมนิดหน่อยก็พอค่ะ"
แน่นอนพวกเธอรู้ว่า ไก่อ่อนในกำมือที่หัวใจกำลังเต้นรัวถี่ กล้าๆ กลัวๆ อยากได้ยินคำถามพวกนี้
โรงนวดในละแวกถนนหว่องเกือบทั้งหมดเป็นห้องแถวที่ซอยออกเป็นห้องส่วนตัวเล็กๆ ติดไฟสีหวานๆ ส่วนใหญ่จะหรี่แสงให้สลัวนิดหน่อยเป็นสัญลักษณ์
เพียงแต่รูดม่านลงก็จะเหลือแต่คุณหมอกับลูกค้าอยู่กันสองต่อสอง
ห้องถูกแบ่งซอยให้เล็กๆ เหลือพื้นที่แคบๆ ขนาด 1.5x2.5 เมตร เรียกว่า แค่ผลุบเข้าไปก็ต้องหายใจรดต้นคอคุณหมอสาวแล้ว ซึ่งจะทำให้ไฟฟ้าในร่างกายเกิดลัดวงจรได้ง่าย
หญิงสาวมักจนทนสภาพบีบคั้นเช่นนี้ไม่ไหวตั้งแต่วันแรกๆ วันที่พวกเธอจะต้องรีบตัดสินใจว่า จะอยู่กับความจริงที่โหดร้ายหรือจะเดินทางกลับภาคใต้ เพราะจะไม่เหลือทางเลือกอื่นไว้ให้เลือก
ทำงานเพียงไม่นานพวกเธอก็ได้รู้จักกับกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” เงินค่าบริการที่มาม่าซังเรียกเก็บจากลูกค้าจำนวนนับแสนๆ นั้น พวกเธอได้รับเพียงไม่กี่พันต่อครั้ง เป็นค่าเหนื่อย
น้องนุ่งกำลังเรียน พ่อแม่ต้องการเงินไปซ่อมแซมบ้าน อยากได้ทีวีสักเครื่อง เบื้องหลังล้วนมีแต่ความยากจนข้นแค้นรอคอยอยู่
โรงนวดกับสปา กำลังเฟื่องฟูในเศรษฐกิจทุนนิยม มันเป็นสถานที่ที่แก้อาการเมื่อยขบได้ดีที่สุด เดินออกจากที่นั่นแล้วจะรู้สึกตัวเบาโหวง กระฉับกระเฉง ไปทำงานต่อก็กระชุ่มกระชวย
แต่มันจะเป็นอีกอาการหนึ่ง หากไม่ได้เข้าไปสถานที่เหล่านั้นเพื่อนวด หรือเพื่อพักผ่อน
แน่นอน มีโรงนวดหลายแห่งที่แบ่งห้องหับเป็นห้องบริการแบบรวม มีหลายเตียงอยู่ในห้องเดียวกัน ให้ลูกค้าชั้นดีไปเอนกายลงไล่ความเมื่อยล้า และ ป้องกันไฟต่างประจุสปาร์คเข้าหากัน
แท้ที่จริงแล้วกรุงฮานอยเป็นแหล่งนวดแผนโบราณที่ลือชื่อของประเทศ เรื่องนี้เป็นทั้งศิลป์และศาสตร์ที่สืบทอดกันมาจากปู่ยาตายาย ตกสู่รุ่นลูก หลาน เหลน โหลน
กรุงฮานอยมีถนนหลายสาย ที่เป็นแหล่งนวดแผนโบราณ ไม่ว่าจะเป็นถนนเลหย่วน (Le Duan) กว๋านแท็ง (Quan Thanh) หรือ กั๋วนาม (Cua Nam)
ฮานอยยังมีสถาบันการแพทย์แผนโบราณ หรือ สถาบันยาทางเลือก ตลอดจนสถาบันฝังเข็มที่มีชื่อเสียง ในแต่ละปีจะมีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยไปที่นั่นเพื่อรับการบำบัดรักษา อาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ
ทุนนิยมได้ทำให้สิ่งดีงามหลายอย่างเปลี่ยนแปลง ได้เกิดมีโรงนวดแผนใหม่ขึ้นราวดอกเห็ด หลายแห่งขึ้นป้าย "นวดแผนโบราณ" แต่บริการข้างในเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ในซอกซอยลึกของ ถนนถายถิง (Thai Thinh) สามารถหาโรงนวดโคมแดงได้ไม่ยาก ที่นั่นจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก และเสียงสนทนาที่ไพเราะในสำเนียงของชาวใต้
แต่ยังไม่มีใครเอาใจใส่เกี่ยวกับความสะอาด ตลอดจนการรณรงค์ป้องกันโรคติดต่อ ที่แพร่ลามพร้อมๆ กับกิจกรรมทางเพศ
สถานอาบอบนวดและสปา ตามโรงแรมหรู อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยค่าบริการที่เป็นอีกอัตราหนึ่งเช่นเดียวกัน
สำหรับลูกค้าวีไอพี บริการนวดในโรงแรม 4-5 ดาว คิดกันชั่วโมงละ 250,000-500,000 ด่ง (16,600 ด่งต่อ 1 ดอลลาร์) ทิปขั้นต่ำสำหรับน้องหมออีก 200,000
ตามโรงแรมทั่วๆ ไปในกรุงฮานอยมักจะมีบริการนวดสารพัด ด้วยอัตราที่ต่ำลงอยู่ระหว่าง 150,000-200,000 ด่ง กับอีก 100,000 ด่งเป็นค่าทิป
"พวกหนูทำงานกันเป็นอาชีพคะ ไม่มีอะไรต้องอาย ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการพักผ่อนคะ คนที่ต้องการบริการอย่างอื่นจะไม่มามีที่นี่คะ" น้องหมอจาก จ.เตวียนกวาง (Tuyen Quang) คนหนึ่งบอกกับนักข่าวหัวเห็ดที่บุกไปยังโรงแรมระดับ 4 ดาวแห่งนั้น
เธอบอกว่ารายได้ต้องถือว่าดีเลยทีเดียว เพราะพวกเธอได้ร่ำเรียนนวดแผนโบราณมาโดยตรง แขกที่ไปใช้บริการจากฝ่ามือนิ่มๆ ของพวกเธอ จะรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง และ จะแสดงความพึงพอใจด้วยการเพิ่มทิป
ต่างกันกับ "ฮวา" (Hoa) น้องหมอจากนครโฮจิมินห์ ที่โรงนวดในอาณาบริเวณโรงแรม 3 ดาวหลังหนึ่ง
ฮวาบอกเรื่องราวที่แตกต่างออกไป โดยเล่าว่าโรงนวดไหนๆ ที่เธอไปทำก็แทบจะไม่ต่างกัน เจ้าของจะจ่ายเงินให้เท่ากับค่าเฝอสักชาม ค่าทิปจากลูกค่าก็แค่ 100,000 วันไหนดีหน่อยก็อาจจะมีลูกค้าสัก 5-6 ราย แต่วันที่ย่ำแย่ก็ได้แค่รายเดียว
แต่ถ้าหากวันไหนมีลูกค้าขอ "อ๊อฟ" เธอก็จะได้เยอะหน่อย เมื่อเบ็ดเสร็จเธอก็อาจจะทำได้สัก 10 ล้านด่งต่อเดือน
คราวนี้ก็มาฟังเสียงจากฝ่ายชายบ้าง..
"ฮุง" (Hung) มังกรหนุ่มพนักงานระดับกลางของบริษัทต่างชาติกรุงฮานอยบอกว่า น้องหมอส่วนใหญ่ต้องการ "เพิ่มรายได้" กันทั้งนั้น คือ รายได้นอกเหนือจากบริการนวด ทั้งด้วยการต่อเวลาและด้วยบริการเสริมต่างๆ ที่เสนอให้ลูกค้าได้เลือก
พวกหนุ่มๆ ในฮานอย จะมีเว็บล็อก (Web Log) หรือ บล็อก ของพวกเขา เอาไว้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันเกี่ยวกับสถานที่ ราคาและการบริการของน้องหมอ
แต่ในนั้นก็มีบางคนได้เตือนเพื่อนๆ ให้หยุด หรือ เพิ่มความระมัดระวังโรคเอดส์ หลังจากไปตรวจพบว่า ตัวเองโดนเข้าแล้ว...