นางบุน รานี ฮุนเซน (Bun Rany Hun Sen) ภริยาของนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ต้องสงสัยมาเป็นเวลานานว่า เป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังการบริหารประเทศ สื่อในประเทศนี้ยังเฝ้าจับตามสตรีหมายเลข 1 ในฐานะ “สตรีที่ร่ำรวยผิดปกติ” อีกด้วย
ในวันเอดส์โลก วันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา นางบุน รานี ในฐานะที่เป็นนายิกาสภากาชาดกัมพูชา ได้ออกปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานในการรณรงค์เตือนให้สังคมได้ตระหนักถึงพิษภัยของโรคเอดส์ รวมทั้งไปเยี่ยมเยือนสถานเลี้ยงเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของกรุงพนมเปญ
สตรีหมายเลข 1 ถูกสื่อฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลวิจารณ์อย่างหนัก มีการลงรูปประกอบข่าวให้เห็นทองหยองเต็มตัวพร้อมบรรยายใต้ภาพ ทำนองว่ากระทั่งไปเยี่ยมเยือนเด็กที่ด้อยโอกาสก็ยังอวดร่ำอวดรวยถึงเพียงนี้
สื่อบางฉบับ เช่น หนังสือพิมพ์สราลัญขะแมร์ (Saralanh Khmer) ถึงกับตั้งคำถามว่า เงินเดือนของนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้มากมายอะไร ลูกเต้าอีกเป็นโขยง แล้วหลังบ้านผู้นำไปร่ำไปรวยมาจากไหน
สตรีหมายเลข 1 ของกัมพูชาไปปรากฏตัวที่สถานเลี้ยงเด็กติดเอชไอวี/เอดส์ ในชุดสปอร์ตเรียบหรู และดูโดดเด่นเนื่องจากมีการประดับประดาวาววับตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ด้วยทองฝังเพชร ไม่ว่าจะเป็นต่างหู สร้อยคอ หรือ กำไลข้อมือ
ตามรายงานของสื่อกัมพูชาบางฉบับ กระทั่งรองเท้าของสตรีหมายเลข 1 ก็ยังประดับด้วยพลอยระยิบระยับ
ในวันเดียวกันนางบุนรานีไปปรากฏตัวต่อที่ชุมนุมในกรุงพนมเปญ ในการรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ ซึ่งในปัจจุบันกัมพูชามีผู้ป่วยราว 123,000 คน หรือคิดเป็นประมาณ 1.9% ของประชากร ในนั้น 40% เป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว ตัวเลขนี้เหล่านี้นับเป็นอัตราสูงที่สุดในเอเชีย
สภากาชาดกัมพูชาจึงเป็นหัวหอกในการรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ สื่อไม่ได้ระแวงสงสัยในเรื่องนี้
แต่ประเด็นการวิจารณ์พุ่งไปที่การอวดร่ำอวดรวยของสตรีหมายเลข 1 สื่อหลายแห่งออกมาเกือบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า สตรีระดับนำของชาติไม่ควรแสดงความฟุ้งเฟ้อในขณะที่ประชากรของประเทศนี้ยังอยู่ในสภาพหาเช้ากินค่ำ
สราลัญขะแมร์และหนังสือพิมพ์ภาษาเขมรอีกบางฉบับ เช่น รัศมีกัมพูชา (Reasamy Kampuchea) ได้เคยออกวิจารณ์บทบาทของนางบุนรานีว่า เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของสามี ในหลายเหตุการณ์
เมื่อตอนต้นปีนี้สตรีหมายเลข 1 ได้นำการต่อต้านไม่ให้เปิดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เทคโนโลยี 3G รวมทั้งการประกวด Miss Cambodia 2006 ในช่วงกลางปี ที่ต้องยกเลิกไปในที่สุด
สตรีหมายเลข 1 ได้นำทีมภริยาของรัฐมนตรีเข้าชื่อต่อต้านโทรศัพท์ 3G ส่งถึงนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่า ด้วยขีดความสามารถในการส่งภาพเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีนี้ จะทำให้ภาพวิดีโอลามกต่างๆ แพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้สังคมเสื่อม
ในเดือน ก.พ. นายฮุนเซน ก็ได้สั่งให้ระงับการให้บริการดังกล่าว
อย่างไรก็ตามพอเดือน ก.ย.รัฐบาลก็อนุญาตให้ข่ายโมบิเทล (Mobitel) เครือข่ายของรัฐบาลที่ร่วมทุนกับต่างชาติ เปิดให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3G ได้ และ ว่ากันว่า ภริยานายกเองก็ใช้บริการนี้อย่างเต็มรูปแบบ และยังใช้โทรศัพท์ซีดีเอ็มเอ (CDMA) รุ่นหรูราคาแพงอีกด้วย
สื่อบางฉบับได้พาดพิงถึงภริยาของอดีตนายกรัฐมนตรีของบางประเทศ ที่มีรายงานว่ามักจะอยู่เบื้องหลังโครงการอภิมหาโปเจกท์ต่างๆ หรือ ออกมาขัดขวางโครงการต่างๆ แบบ "ตีเมืองขึ้น" เพื่อเรียกเงินใต้โต๊ะ
สื่อของกัมพูชาแสดงความหวังว่า เบื้องหลังการเปิดโทรศัพท์ 3G ในกัมพูชาคงจะไม่เป็นเช่นนั้น
นางบุนรานีได้ออกรณรงค์เรียกร้องให้สตรีกัมพูชายึดมั่นถือมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของชาติ และ วิจารณ์การประกวดความสวยความงามต่างๆ ว่า ขัดต่อวัฒนธรรมอันดีงามของชาวเขมร ขัดต่อค่านิยมของสังคมชาวพุทธ
สำหรับการประกวด Miss Cambodia 2006 นั้นมีกำหนดขึ้นในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อคัดหาสาวงามเป็นตัวแทนไปประกวด Miss World 2006 ที่ประเทศโปแลนด์ โดยมีกระทรวงวัฒนธรรมเป็นแม่งาน มีบริษัทออร์แกไนเซอร์ ที่ร่วมทุนกับต่างชาติแห่งหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการ
กระทรวงวัฒนธรรม และกองประกวดประกาศมาตลอดว่าการประกวด Miss Cambodia 2006 จะไม่มีการสวมชุดว่ายน้ำเพื่ออวดโฉมโนมพรรณใดๆ ทั้งสิ้น จึงมีสาวๆ ไปสมัครกันอย่างคับคั่ง รวมทั้งนักเรียนนักศึกษา มีการคัดสาวงามในรอบแรก และนำสาวๆ ที่ผ่านการคัดเลือกไป “เก็บตัว” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่พอใกล้ถึงวันประกวดรอบสุดท้าย ทางการก็ได้ประกาศยกเลิกการประกวดแบบหน้าตาเฉย คอลัมน์ซุบซิบของหนังสือพิมพ์บางฉบับระบุว่า การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นไม่มีเหตุผลอื่นมีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้นคือ “เงินไม่ถึง”
เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีการประกวด Miss Cambodia 2006 แต่ก็มีการจัดส่งสาวงามจากกัมพูชาไปรวมการประกวด Miss World ที่ประเทศโปแลนด์จนได้ และไม่มีหน่วยงานใดออกมาขัดขวาง
มีอีกหลายเรื่องที่สื่อในกัมพูชาหยิบขึ้นมาเขียนหยิกแกมหยอก กระทบกระเทียบถึงภริยาผู้นำอยู่เป็นระยะๆ ตลอดปีนี้
เมื่อตอนต้นปี สตรีหมายเลข 1 ของกัมพูชาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สั่งปิดถนนมุนีวง (Monivong Boulevard) ซึ่งเป็นถนนสายกลางเมืองที่พลุกพล่านจอแจมากที่สุด เนื่องจากมีการจัดพิธีวิวาห์ของบุตรชายหนุ่มนักเรียนนอกสหรัฐฯ แต่งกับเจ้าสาวซึ่งเป็นบุตรีของรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลคนหนึ่ง
งานวิวาห์นี้ทำให้มีเสียงสาปแช่งดังไปทั่วเมืองหลวง เนื่องจากการจราจรติดขัดอย่างหนัก เพราะรถทุกคันต้องเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น
การเป็น “ตู้เพชรเคลื่อนที่” ของสตรีหมายเลข 1 ได้ทำให้บางฝ่ายปักใจเชื่อว่าอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลไม่ยอมส่งร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงเข้าสภาเสียที แม้ว่าประเทศผู้บริจาคให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชาจะออกมาเรียกร้องและกดดันหนักหนาสาหัสเพียงใดก็ตาม