xs
xsm
sm
md
lg

น้ำลายบนแสตมป์ระบุ DNA นักบินหลัง 40 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



การระบุตัวตนของบุคคลจากเศษซากไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาได้ล่วงเลยมาหลายสิบปี และไม่มีหลักฐานอื่นหลงเหลืออยู่ให้เทียบเคียงการวิเคราะห์ แต่ในที่สุดน้ำลายของผู้ตายที่ติดอยู่กับแสตมป์ตั้งแต่ 40 ปีก่อน ก็สามารถช่วยให้ครอบครัวได้พบกับตัวเขาในที่สุด

กรณีของ น.อ.ชาร์ลส ์ ชาฟท์ (Charles Schaft) แห่งเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความยากลำบาก เสืออากาศแห่งกองทัพสหรัฐฯ เสียชีวิตตั้งแต่ปี 2508 เมื่อเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ เอฟ-4 “แฟนทอม” (F-4 Phantom) ของเขาถูกยิงตกในดินแดนเวียดนามเหนือ

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯได้เพียรพยายามมานานร่วม 10 ปี ในการเปรียบเทียบดีเอ็นเอ หรือโครงสร้างทางสายพันธุกรรม ที่ได้จากกระดูกที่ขุดค้นขึ้นมาจากแหล่งเครื่องบินตก ซึ่งเชื่อว่าเป็นซากของเสืออากาศผู้นี้ แต่แล้วในบ้านเกิดของเขาที่ซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย ก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดหลงเหลืออยู่เลย

แต่แล้วกระทรวงกลาโหม ก็ได้ยืนยันศพของเขา โดยวิเคราะห์ดีเอ็นเอของกระดูกกับ (ร่องรอย) ของน้ำลายที่เขาใช้เลียลงบนแสตมป์ เพื่อส่งจดหมายถึงแพทริเชีย ชาฟท์ ภรรยาเมื่อ 40 ปีก่อน กระดูกกับเศษซากสิ่งของเครื่องใช้ของ น.อ.ชาฟท์ ที่ค้นพบจากเวียดนาม จะถูกนำไปทำพิธีฝังอย่างเป็นทางการ ที่สุสานสถานวีรชนแห่งชาติอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย

หลายคนไม่เชื่อผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอของกระทรวงกลาโหม รวมทั้งนางบาร์บาร่า ชาฟท์ ลาวริสัน (Barbara Schaft Lowerison) วัย 72 ปี น้องสาวของผู้ตายที่รณรงค์ให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับพี่ชายมาตลอดเวลา 40 ปี โดยเชื่อว่า น.อ.ชาฟท์ ยังมีชีวิตอยู่ และถูกจับเป็นเชลยศึกโดยทหารโซเวียตในอดีต

นางลาวริสัน กล่าวว่า เคยเห็นพี่ชายในภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อเรื่องหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ที่ฝ่ายเวียดนามได้เกณฑ์เชลยศึกอเมริกันให้เข้าฉากด้วย นอกจากนั้น ก็ไม่เชื่อว่า น้ำลายของพี่ชายจะทนอยู่มาได้จนทุกวันนี้ เพราะอากาศร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นทำให้น้ำลายระเหิดไปหมดแล้ว

เครื่องเอฟ 4 ของเสืออากาศ ชาร์ลส์ ชาฟท์ ถูกยิงโดยข้าศึก นักบินของเครื่องบินอื่นๆ อีก 2 ลำ ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ “เมเดย์ เมเดย์ เมเดย์” (May Day! May Day! May Day!) ผ่านทางวิทยุ นักบินของเครื่องบินลำหนึ่ง กล่าวว่า ได้เห็นเครื่องบินของ น.อ.ชาฟท์ ไปลุกท่วม แต่อีกคนหนึ่งกล่าวว่า ตนเองเห็นร่มชูชีพ

ทั้งหมดนี้ได้ทำให้นางบาร์บาร่า ลาวริสัน ปักใจเชื่อว่า พี่ชายยังมีชีวิตอยู่ ที่ผ่านมา นางได้ยื่นฎีกาต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลายคน รวมทั้ง นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ด้วย เพื่อขอให้มีการเปิดแฟ้มเชลยศึก ตรวจสอบเรื่องนี้โดยละเอียด แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง

นางลาวริสัน ยังได้ยื่นเรื่องเดียวกันนี้ผ่านเจ้าหน้าที่รัสเซียและเจ้าหน้าที่เวียดนามที่องค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องเดียวกันนี้ รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆ กับทุกฝ่ายที่จะสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับพี่ชายได้

สตรีเหล็กรายนี้ กล่าวว่า ในช่วงปี 2540-2541 กระทรวงกลาโหมได้พยายามตรวจสอบเทียบดีเอ็นเอจากกระดูกกับน้ำลายบนแสตมป์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่เจ้าหน้าที่อธิบายว่า เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดทำให้สามารถกระทำได้แล้ว นางลาวริสันก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี ต่างกับภรรยาของผู้ตายซึ่งปัจจุบันทำงานในร้านจำหน่ายอัญมณีในบริเวณกระทรวงกลาโหม

นางแพทริเชีย ชาฟท์ ซึ่งปัจจุบันอายุ 72 ปี กล่าวว่า เธอปลื้มปีติกับผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอเป็นอย่างมาก

“ในที่สุดเราก็พาชาร์ลส์กลับบ้านได้.. เขาจะได้มีที่แห่งเกียรติยศอยู่ในพสุธาอันศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางทหารหาญคนอื่นๆ ฉันรู้ดีว่า วันข้างหน้าร่างของฉันจะถูกฝังถัดจากเขาไป” นางแพทริเชียกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น