กรุงเทพฯ – เพิ่งเปิดเรียนมา 2 เดือนเศษ ตอนนี้ครูอาจารย์ที่สอนเพศศึกษาในเวียดนามกำลังกลัดกลุ้ม เนื่องจากหลักสูตรบรรจุความรู้เรื่องเพศ เอาไว้แค่ในหนังสือแบบเรียนชั้นประถมปีที่ 5 แต่ไม่ได้มีอยู่ในแบบเรียนระดับอื่น ไม่ว่าจะเป็น ป.6 และ ม.1 ซึ่งเป็นวัยที่ควรจะได้เรียนได้ศึกษาเรื่องนี้
นอกจากนั้นก็ยังมีสอนในระดับ ม.2 ม.3 และ ม.4 ซึ่งเป็นวัยที่เรียกว่า “พายุบุแคม” (Storm and Stress) ตามที่ว่าเอาในวิชาจิตวิทยาเด็ก แต่ก็ปรากฏว่าในระดับนี้มีการกล่าวถึงเพศศึกษาเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น
ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาในโรงเรียนทั่วๆ ไป ไม่ได้รวบรวมไว้เป็นหนังสือเรียนเฉพาะ และไม่ได้มีการสอนรายวิชานี้แยกออกจากวิชาอื่นๆ แต่แทรกอยู่ในรายวิชาต่างๆ เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ในชั้นประถม วิชาชีววิทยาและวิชาประชากรศึกษาในโรงเรียนมัธยมต้น-มัธยมปลาย ยิ่งไปกว่านั้นวิชาเพศศึกษายังไม่มีการจัดระบบการสอนด้วย
ในหนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้น ป.5 ที่เริ่มนำไปใช้ในโรงเรียนในปีการศึกษา 2549 - 2550 นี้เป็นครั้งแรก มีการกล่าวถึงความแตกต่างของอวัยวะเด็กหญิงกับเด็กชาย อวัยวะสืบพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในช่วงวัยรุ่น กระบวนการผสมพันธุ์ สุขอนามัยในช่วงวัยรุ่น ทำอย่างไรจึงสามารถป้องกันโรคเอดส์
ครูอาจารย์เห็นร่วมกันว่า การเพิ่มเนื้อหาเพศศึกษาในหนังสือเรียนของนักเรียน ป.5 ควรให้ความเหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบัน เพราะเด็กๆ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็วขึ้น ข้อมูลในหนังสือเรียนสามารถช่วยให้พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับความเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยที่กำลังเติบโตนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเรียนชั้น ป.6 และ ม.1 เมื่อประสบกับการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในร่างกายและต้องการศึกษาอวัยวะส่วนต่างๆ ของตัวเอง ในแบบเรียนกลับไม่มีเนื้อหาที่พวกเขาอยากรู้
นายแพทย์ลือว์ทูถวี๊ (Luu Thu Thuy) ผู้อำนวยการใหญ่ศูนย์เพื่อโครงการการศึกษาและศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์และการพัฒนา (Centre for Education Programme and Strategy Research and Development) กล่าวว่าไม่เพียงแต่เด็กๆ เท่านั้นที่ต้องการความรู้เรื่องนี้ ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน
ในหนังสือเรียนมีเพียง 2-3 หน้าที่กล่าวถึง ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ และวิธีการจัดการกับปัญหารวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เด็กจะเผชิญในช่วงเวลานี้
บ่อยครั้งที่นักเรียนหญิง กังวลเกี่ยวกับการมีรอบเดือน และ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ส่วนนักเรียนชายบ่อยครั้งเช่นกันที่ต้องประหลาดใจกับอาการผิดปกติของร่างกาย แต่พวกเขาไม่สามารถหาคำตอบได้จากหนังสือเรียน
เขาไม่สามารถหาคำใดๆ ในหนังสือเรียนที่เกี่ยวกับเพศศึกษาที่พวกเขาอยากรู้ เช่น ทำไมพวกเขาควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธุ์ในช่วงอายุยังน้อย และพวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงทางเพศได้อย่างไร
ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพที่ดี ในหนังสือชีววิทยาสำหรับนักเรียนชั้น ม.2 บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ การสืบพันธุ์ การพัฒนาของทารกในครรภ์ วิธีการคุมกำเนิด ความเสี่ยงและผลที่เป็นไปได้จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์บางชนิด
นักเรียนระดับสูงกว่า ม.2 ต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายและเด็กหญิง รวมทั้งความรักที่สดใส แต่พวกเขาไม่สามารถได้รับคำแนะนำเหล่านี้จากหนังสือเรียนของพวกเขา
หนังสือเรียนระดับ ม.3 - ม.5 มีเนื้อหาเพียงบางส่วน ที่รวมเรื่องราวทางพันธุกรรมกับเพศสัมพันธ์ ซึ่งอธิบายว่าเด็กหญิงหรือเด็กชายเกิดมาได้อย่างไร
หนังสือเรียนประชากรศึกษาของนักเรียนระดับม.6 มีเพียงบทความหัวข้อ " ประชากรกับความรัก การแต่งงานและครอบครัว" ซึ่งแนะนำนักเรียนให้หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานและการไม่สนับสนุนให้มีความรักเร็วเกินไป
"การศึกษาเรื่องเพศ ในหนังสือเรียนของพวกเราไม่มีประสิทธิภาพและไม่มีระบบ" พ.ญ.ถวี๊กล่าว
ตามที่คุณหมอคนเดียวกันนี้ได้กล่าวว่า ประการแรก ในเวียดนาม มีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเพศศึกษา ซึ่งทำให้เกิดความกดดันแก่ผู้วางแผนหลักสูตร และ ประการที่สอง กระทรวงศึกษาธิการและฝึกอบรม ไม่ได้มีคำแนะนำเป็นพิเศษเกี่ยวกับเพศศึกษา บก.หนังสือแบบเรียนจึงแค่รวมความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาเพียงบางเรื่องเท่านั้น
นางคะริน แวน เดอร์ ฮอร์ (Carin van der Hor) ผู้แทนของกองทุนประชากรโลกในเวียดนาม (World Population Fund) กล่าวว่า นอกจากหนังสือเรียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้ว ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดเวลาให้นักเรียนได้เรียนวิชาเพศศึกษาและจัดหาหนังสืออ้างอิงเกี่ยวกับเรื่องเพศให้ด้วย
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ครูสามารถพูดคุยกับนักเรียน เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งปกติของมนุษย์ทุกคน และเราสามารถพูดคุยเรื่องนี้กันได้ ยกตัวอย่างเช่นในเนเธอร์แลนด์ เด็กวัย 3 ขวบถูกสอนเพศศึกษาทั้งที่บ้านและโรงเรียน
ในขณะที่บางประเทศในเอเชีย เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์และญี่ปุ่นมีหนังสือเรียนเกี่ยวกับเพศศึกษา ซึ่งมีการจัดสอนวิชาเพศศึกษาในโรงเรียนประถม มาตั้งแต่ต้นหรือกลางศตวรรษที่ 20 แล้ว.