นครหลวงเวียงจันทน์มีถนนเก่าและถนนที่ตัดใหม่หลายสายที่ได้มีการตั้งชื่อใหม่ แต่ผู้คนก็ยังคงเรียกชื่อเก่ากัน ทำให้สื่อของทางการต้องออกมารณรงค์เรื่องนี้ โดยชี้ให้เห็นว่ามีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวมาก
ปัจจุบันไม่มี "ถนนธาตุหลวง" อีกแล้ว แต่ถนนจากอนุสาวรีย์ประตูชัย ผ่านหน้ากระทรวงการต่างประเทศผ่านสถานทูตไทย ไปยังลานพระธาตุหลวงความยาว 1.5 กิโลเมตรนั้น ได้เปลี่ยนเป็น "ถนน 23 สิงหาฯ" ตามวันประวัติศาสตร์การลุกฮือต่อต้านรัฐบาลเก่าในนครหลวงเวียงจันทน์
อย่างไรก็ตาม ถนนบางสายผู้คน บริษัทห้างร้านก็ยังคงเรียกชื่อเก่า การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนของรัฐก็ยังคงใช้ชื่อเก่า ซึ่งถือเป็นการไม่พัฒนา หนังสือพิมพ์ “เวียงจันทน์ใหม่” ซึ่งเป็นสื่อของทางการนครหลวงเวียงจันทน์กล่าว
"ชื่อถนนมีความสำคัญมาก พูดในแง่การท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวก็ใช้แผนที่ ต้องใช้ค้นหาถนนเพื่อไปสถานที่ที่ต้องการไปให้ถูก ธุรกิจค้าขายน้อยใหญ่ก็มีที่ตั้งอยู่ตามถนนสายนั้นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการติดต่อ.. ยิ่งไปกว่านั้นมีหลายสายเป็นชื่อของวีรบุรุษของชาติ ผู้นำที่ดีเด่น ชื่อประวัติความเป็นมาของหลายเส้นทางจะเป็นแหล่งเรียนรู้ของอนุชนคนรุ่นหลัง" เวียงจันทร์ใหม่ กล่าวในคอลัมน์นานาสาระ
ในนครหลวงของลาวมีถนนสายเก่าแก่ที่ตั้งชื่อเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์และบุคคลในประวัติศาสตร์อยู่หลายสาย รวมทั้ง “ถนนเสดถาทิลาด” ตั้งตามชื่อพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง-สีสัตนาคนหุต “ถนนฟ้างุม” ตั้งชื่อตามปฐมบรมกษัตริย์ผู้รวบรวมชาวลาวให้เป็นปึกแผ่น รวมทั้ง “ถนนสามแสนไท” อันหมายถึงถิ่นที่อยู่ของผู้คนถึง 300,000 คน เหล่านี้เป็นต้น
ที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนชื่อถนนสายเก่าเสียใหม่ให้สอดคล้องกับยุคสมัย รวมทั้งสายหนึ่งที่เปลี่ยนใหม่เป็น "ถนนไกสอน พมวิหาน" เพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านอดีตผู้นำการกอบกู้เอกราชและสร้างสรรค์ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นอกจากนั้น
ถนนตัดใหม่ที่เคยเรียกว่า "เต-3" (T-3) ความยาว 4.25 ก.ม. จากสามแยกบ้านอากาด ไปถึงแยกไฟแดงปั๊มน้ำมันโพนสะอาด ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ถนนอาเซียน" ส่วนถนน "เต-4" (T-4) จากสามแยกไปแดงฮองแซงไปถึงแยกไฟแดงหนองไฮระยะทาง 10.9 ก.ม. ก็เปลี่ยนชื่อเป็น "ถนนกำแพงเมือง"
อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทห้างร้านต่างๆ นำไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเองก็ยังคงเรียกเป็นชื่อเก่าสร้างความสับสนแก่นักท่องเที่ยว จึงจะต้องช่วยกันเรียกชื่อที่เป็นทางการให้ถูกต้อง เวียงจันทน์ใหม่กล่าว.