การเดินทางของคณะสื่อมวลชนไทยและมูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา เพื่อสานสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ในวาระครบรอบ 30 ปีแห่งการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูต มีโอกาสได้เสพวัฒนธรรมอันมีคุณค่าของเวียดนาม คือ เพลงพื้นเมือง “กวนเหาะ” (Quan Ho) แห่งบั๊กนิง (Bac Ninh) ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ทัวร์เวียดนามกำลังเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
จังหวัดบักนิงห์ อยู่ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 30 กม. มีวัฒนธรรมการร้องเพลงพื้นเมืองที่มีความไพเราะและสวยงามมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 ระยะที่ผ่านมา เพลงพื้นเมืองที่ชื่อว่า “กวนเหาะ” ซึ่งร้องกันในฤดูใบไม้ผลิ ในเทศกาลลิม เป็นเทศกาลชมดอกไม้นี้ได้รับการพัฒนา ปรับเปลี่ยนไปอย่างหลากหลายเข้าใจว่าว่าอาจจะมีกวนเหาะลูกผสมหรือพันธุ์ทางมากจนต้องมีการสังคายนากัน กระทั่งทุกวันนี้ เรียกว่าเพลงกวนเหาะใหม่ หมายความว่าเป็นกวนเหาะที่ได้ผ่านการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาแล้ว
ตำนานเกี่ยวกับเพลงพื้นเมืองดั้งเดิมที่เล่ากันต่อๆ มา ก็คือ มีหมู่บ้าน 2 หมู่บ้าน ชื่อหมู่บ้านลุงซาน หรือหมู่บ้านเลียม และหมู่บ้านตามเซิน หรือตู่เซิน ซึ่งอยู่ในจังหวัดบั๊กนิง สองหมู่บ้านมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทุกๆ ปี ประมาณข้างขึ้น 13 ค่ำของเดือนอ้าย หมู่บ้านตามเซิน จะจัดงานร้องเพลงขึ้นบริเวณกลางลานบ้าน และเชื้อเชิญคนแก่คนเฒ่าทั้งชายและหญิง ฝ่ายละ 5-6 คน มาร่วมกับคนหนุ่มสาวจากบ้านลุงซาน เมื่อเทศกาลนี้มาถึงก็มีการสนทนาพาทีและแทนที่จะโอภาปราศรัยกันเปล่าๆ แต่ละครั้ง พวกคนหนุ่มก็จะร้องเพลง ฝ่ายสาวก็จะร้องแก้ แต่ละเพลงก็จะมีการร้องประกวดประขันกันจนสว่าง
อย่างไรก็ตาม ในระยะราชวงศ์หลี่ มีการพัฒนาเทศกาลร้องเพลงนี้อย่างขนานใหญ่ กระทั่งมีการจัดการร้องเพลงยาวนานเกือบครึ่งเดือนของเดือนอ้าย
เรื่องที่เล่าต่อกันมาในช่วงนั้นมีอยู่ว่า ถึงแม้เมืองหลวงของเวียดนามจะย้ายไปอยู่ถังลอง หรือฮานอยในปัจจุบันแต่กษัตริย์ลีท้ายโต่ (Ly Thai To) ในราชวงศ์ลี ก็ยังเดินทางมาจังหวัดบั๊กนิง อันเป็นบ้านเกิดทุกฤดูใบไม้ผลิ และประทับอยู่จนถึงเทศกาลร้องเพลง
ทุกๆ ปี ขบวนเสด็จกองเรือรูปมังกรของกษัตริย์ จะล่องเข้ามาตามแม่น้ำเทียนดึ๊ก ประชาชนและข้าราชบริพาร คนหนุ่มคนสาวจะยืนรายเรียงตามสองฝั่งแม่น้ำเพื่อให้การต้อนรับขบวนเรือ และจะพากันร้องเพลงเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติให้กับกษัตริย์ กษัตริย์ก็จะมอบของขวัญเป็นผ้าไหม และจะจัดงานเลี้ยงเพื่อรับฟังบทกวีและเสียงเพลง
บทเพลงพื้นเมืองที่ได้ชื่อว่า กวนเหาะ นี้ เป็นการตั้งชื่อเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ขุนนางคนหนึ่งที่ชื่อ กวน เวียน เหาะ ซึ่งเป็นคนจัดงานนำพาประชาชนต้อนรับกษัตริย์ทุกๆ ปี
วัฒนธรรมที่สืบสานมาแต่โบราณจวบจนบัดนี้ได้รับการจัดขึ้นทุกปี โดยช่วงเวลาขึ้น 13 ค่ำเดือนอ้าย บนยอดเขาลิม (lim) หรือในสวนบริเวณตั้งเจดีย์ลิม ประชาชนจากทุกทั่วสารทิศของประเทศ โดยเฉพาะหนุ่มสาวก็จะพากันมาชุมนุมเพื่อชื่นชมดอกไม้งามพร้อมกับร้องเพลงกวนเหาะในเทศกาลลิม บรรดาหนุ่มสาวแต่งตัวกันสวยงาม ชายมักกางร่มไหมสีดำ ส่วนหญิงมักจะถือหมวกใบตาลใบ ชาย-หญิงจะแยกเป็นคนละกลุ่ม และเริ่มสนทนาโต้ตอบกันเป็นเสียงเพลง
เวลาเล่นเพลง ผู้ชายจะเรียกตัวเองว่า น้องชาย ขณะที่เรียกฝ่ายหญิงว่า พี่สาว ตรงข้ามกัน ฝ่ายหญิงก็จะเรียกตนเองว่า น้องสาว และเรียกฝ่ายชายว่า พี่ชาย อันเป็นการแสดงการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อกัน จากนั้น ฝ่ายหญิงก็จะเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยเสียงเพลงโดยจะร้องประสานเสียงกันให้อยู่ในระดับเดียวกันเพื่อประคับประคองให้โทนเสียงของกลุ่มไปในท่วงทำนองเดียวกัน โดยทั่วไปแล้ว จะไม่มีเครื่องดนตรีประกอบเพราะเสียงที่ขับร้องก็มีความไพเราะเพียงพอแล้ว แต่ปัจจุบันเพลงกวนเหาะเล่นประกอบดนตรีโดยใช้เครื่องดนตรีพื้นเมืองเป็นหลัก
บทเพลงกวนเหาะ มักพูดถึงความหวานชื่น ความสดใสแห่งชีวิต และความรักต่อแผ่นดิน ตัวอย่างเพลงหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก คือ ถ้าพบคนรักให้เอาเสื้อดำเขากลับบ้าน อีกฝ่ายหนึ่งก็จะบอกกับพ่อแม่ว่าไปข้ามสะพานแล้วลมพัดเสื้อปลิวจมหายไป สุดท้าย จะมีบทเพลงแห่งการอำลา
ที่น่าสนใจก็คือ กลุ่มที่มาร้องเพลงมักจะมาแสดงออกถึงงานศิลปะ มากกว่าการแสดงออกถึงความรักฉันชู้สาว โดยทั่วไปแล้วสมาชิกหญิง-ชายของกลุ่มที่มาร้องเพลงก็มักจะไม่ได้จบลงด้วยการแต่งงานกัน และส่วนมากจะกลายเป็นเพื่อนสนิท ถ้าหากฝ่ายชายได้ไปแต่งงานกับหญิงอื่น ฝ่ายชายก็มักจะไปเยี่ยมเพื่อนหญิงที่เคยร่วมร้องเพลงที่ไปแต่งงานกับชายอื่นเช่นกัน และในยามที่เพื่อนผู้ชายมาเยี่ยมฝ่ายหญิง สามีของหญิงคนนั้นก็จะเปิดโอกาสให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันโดยไม่รู้สึกว่าเป็นการเสียหายแต่อย่างใด ขณะเดียวกันลูกๆ ของทั้งฝ่าย มักจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน
หลังการอำลาเทศกาลกวนเหาะ บรรดาคนหนุ่มสาวที่มาร่วมร้องเพลงก็จะกลับไปทำงานหนักในไร่นาโดยไม่ลืมที่จะตระเตรียมเนื้อเพลงสำหรับเทศกาลใหม่ที่มาถึงในปีหน้า ฉะนั้น แรงงานและศิลปะจึงมักจะเป็นดุลยภาพแห่งชีวิตของประชาชนของบักนิงห์
บทเพลงกวนเหาะของเวียดนาม ได้รับการบันทึกจากองค์การยูเนสโกระหว่างทศวรรษ 1970-1980 เอาไว้ว่าเป็นบทเพลงที่มีคุณค่าและสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งในบันทึกนั้นมีอยู่ 30 บทเพลงจากหลากหลายชาติ เช่น เพลงพื้นเมืองของลาวภาคใต้ อินโดนีเซีย จีน ทิเบต มองโกเลีย ญี่ปุ่น ฯลฯ (แต่ไม่มีบทเพลงจากไทย)
กล่าวเฉพาะเวียดนาม ยูเนสโก บันทึกไว้ 3 รายการ คือ เพลงกาจู (CaTru), เพลงกวนเหาะ และเครื่องดนตรีพื้นเมือง (ข้อมูลจาก www.vnstyle.vdc.com.vn)
ปัจจุบันยังมีการเล่นเพลงกวนเหาะอยู่บ้างในจังหวัดบั๊กนิงในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่นักท่องเที่ยวที่นานๆ จะเดินทางไปเวียดนามสักครั้งหนึ่งแล้วไม่อยากรอจนถึงเทศกาลนั้น ก็ยังสามารถหาชมได้แบบฉบับย่อตามร้านอาหาร เขาจะแสดงให้ชมประมาณ 1 ชั่วโมง ก็พอจะได้อรรถรสว่าเพลงนั้นเป็นอย่างไร
แต่หากอยากจะได้บรรยากาศจริงคงจะต้องเดินทางไปเยือนเวียดนามให้ตรงกับเทศกาลที่เขาเล่นกัน อาจจะได้บรรยากาศแบบย้อนยุคไปประมาณศตวรรษที่ 13 โน่นเลยทีเดียว.
(เพลงประกอบ ชื่อเพลง "กงเยวียน" หรือ "You are still charming" ขับร้องโดย แท็งเฮียว (Thanh Heiu) จาก จ.บั๊กนิง)