xs
xsm
sm
md
lg

‘กินทุกอย่าง..ยกเว้นขาโต๊ะ’ สัตว์ป่าใกล้หมดป่า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ชีวิตของพวกเขามีคุณค่ายิ่งในอ้อมกอดของธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันประชากรค่างพันธุ์ที่หายากยิ่งนี้กำลังลดจำนวนลงอย่างมากในเวียดนาม ผู้คนในบางประเทศต้องการสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดนี้เพื่อนำไปใช้เป็นยาอายุวัฒนะ

"เราสามารถกินทุกอย่างที่มีสี่ขาได้ ยกเว้นโต๊ะ เราสามารถกินทุกอย่างในทะเลได้ ยกเว้น เรือ และเราสามารถกินทุกอย่างในอากาศได้ ยกเว้นเครื่องบิน" นี่คือคำกล่าวที่มักจะได้ยินและเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วเอเชีย

คำกล่าวเช่นนี้สะท้อนให้เห็นนิสัยการกินแบบไม่ยั้งของผู้คนในหลายประเทศแถบเอเชียซึ่งทำให้สัตว์ป่า รวมทั้งสัตว์เลี้ยงด้วยนมเช่นเดียวกับมนุษย์ตกเป็นเป้าหมายของการกิน ประชากรสัตว์ป่าที่หายากลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย และเวียดนามได้กลายเป็นประเทศที่ตกอยู่ในสายตาของนักอนุรักษ์

เจ้าหน้าที่ทางการเวียดนามและเจ้าหน้าที่หน่วยงานพิทักษ์สัตว์ป่าระหว่างประเทศกล่าวว่า ในปัจจุบันจะมีการลักลอบขนส่งสัตว์ป่าผ่านเวียดนามเพื่อนำไปจำหน่ายในสาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลี ไต้หวัน และฮ่องกงปีละประมาณ 3,000 ตัน ซึ่งทำให้เวียดนามเป็นเส้นทางใหญ่ของการค้าสัตว์ป่าในเอเชีย

นอกจากจะเป็นทางผ่านของการค้าสัตว์แล้ว สัตว์ป่าท้องถิ่นที่หายากในเวียดนามเองก็มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เนื่องจากมีการลักลอบค้าขายอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อบริโภคในประเทศและส่งออก
<CENTER><FONT color=#009933> เสือลายเมฆเพศเมียตัวนี้ถูกช่วยเหลือจากด่านมงกาย (Mong Kai) จ.กว๋างนิง (Quang Ninh) ติดชายแดน มันควรจะได้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามธรรมชาติ แต่ทว่าค่าตัวของมันสูงถึง 4,000 ดอลลาร์ ในตลาดทางตอนใต้ของจีน</FONT></CENTER>
ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทางการและเจ้าหน้าที่กองทุนพิทักษ์สัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund) สามารถช่วยเหลือเสือลายเมฆเพศเมียได้ 1 ตัว ในสภาพบรรจุถุงเตรียมจะนำข้ามแดนที่ด่านมงกาย (Mong Kai) จ.กว๋างนิง (Quang Ninh) ซึ่งคาดว่าจะนำไปจำหน่ายในจีน

เสือลายเมฆหนัก 18 กก.ได้เข้ารับการรักษาอยู่ภายในบริเวณศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่ากรุงฮานอย ภายในศูนย์แห่งนี้ยังมี เสือดำชะนี และสัตว์สายพันธุ์หายากชนิดอื่นๆ เข้ารับการดูแลก่อนที่จะปล่อยคืนสู่ป่า สัตว์ป่าส่วนใหญ่ที่ถูกลักลอบค้า มักจะไปจบชีวิตลงตามร้านอาหาร ร้านยาแผนโบราณ และร้านขายของที่ระลึก

นักนิเวศวิทยากล่าวว่า ผืนป่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นขุมทรัพย์ที่มีค่าทางชีววิทยา และได้กลายเป็นเหมืองทองสำหรับเหล่านักค้าและลักลอบสัตว์ป่าผิดกฎหมายในเวลาเดียวกัน เวียดนามยังเป็นทางผ่านของสัตว์ป่าที่ถูกลักลอบขนไปจากลาว กัมพูชา พม่า อินโดนีเซีย รวมไปถึงอินเดีย เพื่อนำไปจำหน่ายและส่งออกไปยังจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ และ ฮ่องกง

"เสือลายเมฆตัวนี้สามารถทำรายได้ให้กับพวกค้าสัตว์ป่าถึง 70 ล้านด่ง (4,300 ดอลลาร์สหรัฐ)" สำนักข่าวเอเอฟพีอ้างคำกล่าวของนายเหวียนวันญุง (Nguyen Van Nhung) สัตว์แพทย์ประจำศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่า กรุงฮานอย

"เนื้อสัตว์ป่าเหล่านี้มักจะถูกนำไปปรุงอาหารเป็นเมนูจานพิเศษ และกระดูกของพวกมันก็กลายเป็นยาอายุวัฒนะ" นายญุง กล่าว

"ผู้คนต่างเชื่อว่า พวกมันสามารถทำให้พวกเขามีพละกำลังแข็งแรงมากขึ้นถ้าได้รับประทาน" เจ้าหน้าที่คนเดียวกันกล่าว
<CENTER><FONT color=#009933> เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่ากรุงฮานอยกำลังให้น้ำหมีควาย ที่สามารถช่วยให้พ้นเงื้อมมือของนักค้าสัตว์ป่ามาได้ ทั้งอุ้งเท้าและน้ำดีของมันเป็นยาอายุวัฒนะที่มีความต้องการอย่างสูงในตลาดสัตว์ป่าแถบเอเชียตะวันออก </FONT></CENTER>
ส่วนนายนายอีริค คูลล์ (Eric Coull) ผู้แทนกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง กล่าวว่า กรณีค้าสัตว์ป่าที่ยกขึ้นมานี้เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ในปัจจุบัน การค้าสัตว์ป่ามีจำนวนมากขึ้น พอๆ กับที่อยู่อาศัยของสัตว์ถูกทำลาย ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบต่อความอยู่รอดของสัตว์หลายสายพันธุ์

"ไม่มีที่ไหนเลย ที่จะเด่นชัดมากกว่าในเวียดนาม ที่จำนวนประชากรสัตว์ป่าเริ่มลดน้อยร่อยหรอลงจนถึงระดับที่อันตราย เนื่องจากการบริโภคและค้าอย่างผิดกฎหมาย" นายคูลล์ กล่าว

เจ้าหน้าที่ของ WWF ยังกล่าวอีกว่าสัตว์ป่าบางสายพันธุ์กำลังลดจำนวนลงไปอย่างช้าๆ มีการพบชะนีในร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งในกรุงฮานอย ลูกหมีควายถูกยึดไว้เป็นของกลางได้ในบริเวณใกล้กับด่านชายแดนลาว และพบลิงอีกหลายตัวจากบริเวณที่ราบปากแม่น้ำโขง

ดร.เหวียน วัน ซง (Nguyen Van Song) จากมหาวิทยาลัยเกษตร กรุงฮานอย กล่าวว่ามีสัตว์ป่าและสินค้าจากสัตว์ป่าประมาณ 3,000 ตัน ถูกนำเข้าและส่งออกจากเวียดนามในแต่ละปี มีเพียง 3% จากสัตว์ป่าจำนวนทั้งหมดเท่านั้นที่สามารถสกัดกั้นช่วยเหลือเอาไว้ได้
<CENTER><FONT color=#009933> เจ้าหน้าที่เวียดนามกำลังทำท่าสาธิตวิธีที่พ่อค้าสัตว์ป่าสกัดดีหมีออกจากร่างหมีที่ยังมีชีวิต และในขวดบรรจุขนาดนี้ดีหมีจะมีมูลค่านับพันดอลลาร์ นิยมดื่มกันสดๆ เพราะเชื่อว่ามันช่วยให้มีสุขภาพดี มีอายุยืนยาว แต่หมีจำนวนมากที่ล้มตายลงอย่างทุกข์ทรมานเพราะแผลติดเชื้อ  </FONT></CENTER>
ดร.ซง เชื่อว่า ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายมากกว่า 3,500 กก. ถูกขนย้ายผ่านเมืองลางเซินและมงกายทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น ชะมด ตุ๊กแก เต่า งูเห่า งูหลาม ลิง หมี และเสือ โดยผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าได้ใช้รถพยาบาล รถแต่งงาน และรถขนศพ เป็นพาหนะในการลักลอบสิ่งของและสัตว์เหล่านี้ หรือจ้างคนขนของเดินเท้าผ่านคนกลางอีกที ดังนั้นหากคนเหล่ารับจ้างเหล่านี้ถูกจับ พวกเขาก็ไม่สามารถเปิดเผยระบุตัวผู้สั่งการได้

นอกจากนั้นใบอนุญาตที่ใช้ผ่านด่านบางครั้งก็เป็นของปลอม และเจ้าหน้าที่ด่านมักจะถูกข่มขู่หรือได้รับสินบนในการเปิดทางด้วย.

เหมือนกับผู้คนทั่วไปที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ชาวเวียดนามมักจะมีความรู้สึกภูมิใจในวิธีการปรุงและรสชาติอาหารของตน

สัตว์ป่าบางชนิดถูกฆ่าเพื่อเอาหนังของมัน หรืออวัยวะ เช่นเขี้ยวของเสือ งาช้าง กระดองเต่า มาเป็นเครื่องประดับ สัตว์บางตัวถูกนำไปเลี้ยงในสวนสัตว์ส่วนตัวที่ผิดกฎหมาย แต่กว่า 75% ของสัตว์ที่ลักลอบค้าเหล่านี้ ต้องตายและกลายเป็นอาหารของมนุษย์

เนื้อ ไวน์และยาแผนโบราณ ที่ทำมาจากสัตว์ป่า เป็นความเชื่อตามประเพณีที่สืบทอดกันมาว่าจะสามารถช่วยรักษาเยียวยาอาการเจ็บป่วย เป็นยาอายุวัฒนะ และบำรุงกำลัง เหมือนในวัฒนธรรมของหลายๆประเทศในเอเชีย

"ชาวเวียดนามหลายคนเชื่อว่า การบริโภคเนื้อสัตว์ป่าจะช่วยให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ซึ่งพวกเขามักจะจ่ายเงินในเป็นจำนวนมาก เพื่อแลกกับสินค้าหรือเนื้อสัตว์ที่ได้มาจากสัตว์พันธุ์หายาก" เจ้าหน้าที่จาก WWF กล่าว

นายซัลมา วอร์น (Sulma Warne) เจ้าหน้าที่จากองค์การเครือข่ายควบคุมการค้าสัตว์ป่า (TRAFFIC) กล่าวว่า เมื่อไม่นานที่ผ่านมาเขาได้รับทราบว่ามีกลุ่มผู้ชายได้จ่ายเงินหลายพันดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นค่าชิ้นส่วนของเสือที่ถูกฆ่าในพม่า แล้วลักลอบนำเข้ามาในเวียดนาม

"มันเป็นสัญลักษณ์ทางสถานภาพ ประเด็นอยู่ตรงที่เมื่อคุณสามารถได้เนื้อของเสือมานั้น แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนมีเงิน ยิ่งเมื่อเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และยากที่จะได้มาแล้ว มันมีค่าเหมือนกับคุณได้คาร์เวียร์" นายวอร์น กล่าว
<CENTER><FONT color=#009933> ลิงแม่ลูกคู่นี้ถูกลักลอบขนไปจากเขตป่าชายเลนในจังหวัดที่ราบปากแม่น้ำโขง กำลังจะถูกส่งข้ามแดนไปจำหน่ายในจีน ปลายทางสุดท้ายของสัตว์เลี้ยงลูกสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับมนุษย์คู่นี้ก็คือ ร้านอาหารประเภทเปิบพิสดาร </FONT></CENTER>
จากการสำรวจเมื่อไม่นานที่ผ่านมาของ WWF และ TRAFFIC พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงฮานอย เคยใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า และ จากการสำรวจร้านอาหาร ภัตตาคารทั้งหมด 1,600 แห่ง ในนครโฮจิมินห์ พบว่ามีสัตว์ป่าที่เป็นรายการอาหารอยู่ถึง 15 สายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น กวาง งู และเต่า

"ในขณะที่เวียดนามกำลังเจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่ประชาชนกลับยังคงมีความเชื่อในเรื่องของยาอายุวัฒนะ และการอวดถึงความร่ำรวยและอำนาจ จากการรับประทานสัตว์ป่าหายาก" นายเอ็ดวิน วีค (Edwin Wiek) มูลนิธิช่วยเหลืออุรังอุตังบอร์เนียว (BOS) กล่าว

นายวีค ได้ทำการตรวจตราควบคุมการค้าสัตว์ป่าในเวียดนาม มาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะสัตว์ประเภทลิง ในปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เวียดนามได้ส่งคืนอุรังอุตัง 2 ตัว กลับไปยังประเทศอินโดนีเซีย หลังพบในสวนสัตว์ของโรงแรมเอกชนแห่งหนึ่งในนครโฮจิมินห์ ในบริเวณดังกล่าว ยังพบว่ามีการเลี้ยงหมีอยู่อีกกว่า 70 ตัว เสือ ลิง และนกพันธุ์ต่างประเทศ

"สำหรับบางคน การมีรถยนต์เฟอร์รารี่จอดอยู่หน้าบ้านก็ยังไม่เพียงพอ คุณต้องมีลิงชิมแพนซี หรืออุรังอุตัง ที่สนามหลังบ้านของคุณด้วย คุณถึงจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริง" นายวีค กล่าว

ช่วงระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา บรรดานักชีววิทยาต้องรู้สึกตกตะลึงที่พบว่าในประเทศเวียดนามนั้น มีผืนป่าที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและสายพันธุ์สัตว์มากกว่าที่เคยรู้ก่อนหน้านี้

ในปี 2535 นักวิจัยได้ค้นพบตัวเสาหล่า (Saola) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพันธุ์ใหม่ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่พบในช่วงเวลาครึ่งศตวรรษ นอกจากนั้นยังพบวัวป่าที่กำลังมีจำนวนลดน้อยลง ถึงไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่แต่ก็เป็นคนละชนิดกัน

นับตั้งแต่นั้นมา ยังได้มีการค้นพบแรดชวานอเดียวในเวียดนามอีกครั้ง หลังจากที่คิดว่าได้สูญพันธุ์ไปจากแผ่นดินใหญ่แล้ว นักชีววิทยายังค้นพบ กวางสายพันธุ์ใหม่อีก 3 สายพันธุ์ สัตว์มีกระดูกสันหลัง 63 สายพันธุ์ และปลาที่ไม่รู้จักอีก 45 สายพันธุ์ ในเวียดนาม

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อทำบัญชีรายชื่อสัตว์ชนิดใหม่ก่อนที่พวกมันจะสูญพันธุ์ไป เพราะพื้นที่ป่าอันมากมายของเวียดนามได้ถูกทำให้เป็นพื้นที่เปิดโล่ง หรือที่เรียกว่า "ป่าที่ว่างเปล่า" ทำให้สัตว์มากกว่า 300 สายพันธุ์ได้หายไป และอีกกว่า 100 สายพันธุ์กำลังถูกคุกคาม

นอกจากนั้น ป่าดงดิบของเวียดนามที่ยังคงบริสุทธิ์อยู่ในปัจจุบันได้ลดลงเรื่อยๆ เชื่อว่าคงมีเสือประมาณ 100 ตัว ช้างป่า 100 เชือก และแรด 10 ตัว ที่ยังคงมีชีวิตรอดอยู่ในป่า แต่ก็เริ่มลดจำนวนน้อยลงในเวลาเดียวกัน
<CENTER><FONT color=#009933> กวางสาวหล่า (Sao La) ที่อยู่สุดท้ายของพวกเขาคือผืนป่าในเขตเขาชายแดนเวียดนาม-ลาว ประชากรสัตว์หายากชนิดนี้มีอยู่ไม่มากและกำลังถูกพรานป่าไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด  </FONT></CENTER>
ในปี 2518 เวียดนามได้ออกกฎห้ามล่าสัตว์หากไม่มีใบอนุญาต และได้ลงนามในสนธิสัญญาหลายฉบับ รวมทั้งอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES)

อย่างไรก็ตาม กฎหมายบังคับยังคงไม่เข้มงวดพอ ซึ่ง ดร.ซง กล่าวว่า กำไรที่ได้จากการลักลอบค้าสัตว์ป่าสูงกว่าจำนวนเงินงบประมาณที่รัฐใช้ในการปราบปรามถึง 30 เท่า

ตราบเท่าที่ความต้องการยังคงมีอยู่ การค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายเหล่านี้จะยังคงเติบโต และยังจะคุกคามทำลายมรดกทางชีวภาพของเวียดนามและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ต่อไป

"ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เวียดนามกลายเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงสำหรับการค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ๆ และในอนาคตเวียดนามอาจจะกลายเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในการสูญพันธุ์ของสัตว์ด้วย" นายโคลล์ จาก WWF กล่าว.

(เรียบเรียงจากบทเขียนเรื่อง Illegal wildlife trade takes heavy toll in Vietnam โดย Frank Zeller สำนักข่าวเอเอฟพี)
กำลังโหลดความคิดเห็น