คณะตุลากรระหว่างประเทศได้เข้าพิธีสาบานตนก่อนรับหน้าที่แล้วในวันจันทร์ (3 ก.ค.) ที่ผ่านมา เพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรณีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอดีตผู้นำเขมรแดงหยิบมือหนึ่งที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ขณะที่อดีตผู้นำบางคนที่น่าจะถูกกันไว้ให้การในฐานะพยานได้เสียชีวิตไปแล้ว ท่ามกลางความวิตกกังวนว่า คณะตุลาการอาจจะล้มเหลวจับมือใครดมไม่ได้ในที่สุด
มีชาวกัมพูชาเสียชีวิตไปราว 2 ล้านคนระหว่างที่เขมรแดงหรือพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ที่เรียกตัวเองว่า "รัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย" ขึ้นครองอำนาจในช่วงสั้นๆ ระหว่างต้นปี 2518 ถึงต้นปี 2522 พวกเขมรแดงถูกกล่าวว่าได้สังหารผู้คนไปนับหมื่นๆ คนที่พวกเขากล่าวว่าเป็น "ศัตรู" หรือเป็น "สายลับ" ของฝ่ายตรงข้าม และยังต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของคนอีกเรือนล้าน ที่ล้มตายลงเนื่องจากทำงานหนัก ป่วย หรืออดอยาก
อย่างไรก็ตามนักวิชาการจำนวนหนึ่งได้พยายามอธิบายว่า ผู้ที่เสียชีวิตล้มตายลงนั้นไม่เพียงแต่เป็นเหยื่อของระบอบเขมรแดงเท่านั้น จำนวนไม่น้อยล้มตายในสงครามกลางเมืองก่อนหน้าที่ฝ่ายเขมรแดงจะขึ้นเถลิงอำนาจ รวมทั้งมีจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดแบบปูพรมของสหรัฐฯ เพื่อกวาดล้างทำลายกองโจรเขมรแดงที่กำลังโอบล้อมทำสงครามเผด็จศึกขั้นสุดท้าย ในเขตรอบๆ ตัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ
บางคนบันทึกเอาไว้ว่าเมื่อเขมรแดงยาตราทัพเข้ากรุงพนมเปญนั้น ได้พบแต่คนที่อดอยากหิวโหย เนื่องจากในช่วงหลายเดือนก่อนที่รัฐบาลของ พล.อ.ลอนนอล จะแตกพ่ายนั้น ชาวเมืองหลวงต้องพึ่งพาอาหารและความช่วยเหลือต่างๆ จากหน่วยยูเสด (USAID) ของสหรัฐฯ ที่ขนส่งไปจากประเทศไทย สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นกับชาวเขมรในเมืองใหญ่อื่นๆ ด้วย เป็นเหตุให้กองกำลังเขมรแดงต้องกวาดต้อนให้คนเหล่านั้นต้องอพยพจากตัวเมืองไปยังไร่นาเพื่อทำการเพาะปลูกผลิตอาหารเลี้ยงชีพ
การบังคับให้คนอพยพออกจากตัวเมืองอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอีกนับหมื่นๆ คน
อย่างไรก็ตามยังมีประจักษ์พยานความโหดร้ายของฝ่ายเขมรแดงที่คุกตูลสะแลง ในเมืองหลวง ซึ่งมีการไต่สวน และ ทรมานนักโทษอย่างโหดร้ายทารุณ จำนวนไม่น้อยถูกประหารชีวิตที่นั่น
นอกจากนั้นก็ยังมีการเก็บรวบรวมหัวกะโหลกกับโครงกระดูกอีกนับหมื่นชุดที่อนุสรณ์สถานเจืองแอ็ก ห่างจากกรุงพนมเปญออกไปราว 40 กิโลเมตร หลายคนเรียกอาณาบริเวณแห่งนั้นว่า "ทุ่งสังหาร" เนื่องจากมีการค้นพบหลุมฝังศพหมู่จำนวนมาก
นับตั้งแต่ถูกกองทัพเวียดนามขับไล่ออกจากกรุงพนมเปญในวันที่ 7 ม.ค. 2522 ผู้นำเขมรแดงทุกระดับได้ปฏิเสธเรื่องราวการสังหารหมู่ประชาชนมาตลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายพอลพต หรือ "โปลโป้ต" ผู้นำหมายเลข 1 นั้นได้ปฏิเสธจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต หลังจากถูกกองกำลังของม๊อกตา ผู้ใต้บังคับบัญชายึดอำนาจและนำตัว "ขึ้นศาล" พิจารณาความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ในช่วงที่ถูกนำตัว “ขึ้นศาล” ปี 2541 นั้น นายพอลพตปฏิเสธในวิดีโอเทปที่ถ่ายทำโดยนักข่าวชาวอเมริกัน ยืนยันว่าระบอบเขมรแดงของเขาต่อสู้กับเวียดนามผู้รุกราน ไม่ได้ยึดอำนาจมาเพื่อที่จะเข่นฆ่าประชาชน
** คลิกเพื่อเข้าชมภาพและฟังเสียงสัมภาษณ์ของอดีตผู้นำสูงสุดของเขมรแดงในวิดีโอคลิป (บนขวาของหน้า)**
หลังยึดอำนาจจากพอลพต นายม๊อกตาได้นำพลพรรคที่เหลืออยู่ทำการต่อสู้กับรัฐบาลของนายฮุนเซนต่อไปอีกประมาณ 1 ปีเศษ ขณะที่กองกำลังเขมรแดงส่วนใหญ่ได้วางอาวุธเข้าร่วมกับทางการ
ในที่สุดม๊อกตาก็ถูกจับกุมได้ที่ฐานในมั่นแห่งสุดท้ายของเขมรแดงในเขตเมืองอันลองแวง จ.อุดรมีชัย ถูกนำขึ้นศาลและถูกตัดสินจำคุก ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลพยามสร้างความปรองดองขึ้นมาในชาติ
ตาม๊อกล้มป่วยในสัปดาห์ปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ทนายความส่วนตัวของเขาบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า นายม๊อกอยากจะให้มีการไต่สวนเร็วๆ เขาเองจะได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ชาวโลกได้ทราบข้อเท็จจริงว่า ใครกันแน่ที่มือเปื้อนเลือด
ในสัปดาห์ต้นเดือน มิ.ย. นายจวนเจือน (Thiounn Thioeun) อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข รัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยในอดีตได้เสียชีวิตไปอีกรายด้วยโรคชรา รวมอายุ 86 ปี
นายเจือน หรือ น.พ.เจือน เรียนสำเร็จการแพทย์จากฝรั่งเศสและได้อยู่กับผู้นำอื่นๆ ของเขมรแดงมาชั่วชีวิต หลายฝ่ายกล่าวว่าการสูญเสีย ดร.เจือน เป็นการสูญเสียพยานที่ดีที่สุดไปอีกคนหนึ่ง ในการไต่สวนหาข้อเท็จจริง
อดีตผู้นำเขมรที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้จึงมีเพียง นายเคียว สมพอน (เขียวสัมพันธ์) อดีตประธานาธิบดี นายเอียงซารี อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ นายนวนเจีย อดีตนักทฤษฎีของพรรค นายม๊อกตา ผู้บัญชาการทหารคนหนึ่ง และ "ดุจ" นักการทหารที่ได้ชื่อเป็นมือสังหารที่โหดเหี้ยมที่สุดคน อดีตผู้นำสามคนแรกยังคงอาศัยอยู่ในแถบฐานที่มั่นเก่า จ.ไพลิน ส่วนดุจถูกจับกุมและถูกคุมขังเช่นเดียวกันกับม๊อก
หลายฝ่ายสงสัยอยู่ว่า การไต่สวนจะลามไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายฮุนเซน ประธานรัฐสภานายเฮงสัมริน และประธานวุฒิสภา นายเจียซิม กับผู้นำคนอื่นๆ ที่มีอำนาจทางการเมืองในขณะนี้หรือไม่
ทั้งนี้เนื่องจากนายฮุนเซนกับบุคคลต่างๆ เหล่านั้นก็ล้วนแต่เคยเป็นพลพรรคของฝ่ายเขมรแดง ก่อนที่พวกเขาแปรพักตร์ในช่วงปี 2520-2521 และขอให้เวียดนามส่งทหารเข้าโค่นล้มฝ่ายนายพอลพตในเวลาต่อมา
กระทั่งอดีตกษัตริย์สีหนุเองก็อาจจะมีส่วนอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเข้าร่วมกับฝ่ายเขมรแดงในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลของนายพลลอนนอล
หลังจากพวกเขมรแดงถูกกองทัพเวียดนามโค่นจากอำนาจ พระองค์ยังทรงเข้ารับเป็นประมุขของ "รัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตย" ที่มีกองกำลังเขมรแดงเป็นแกนนำ และสหประชาชาติให้การรับรอง ทำการต่อสู้กับกองทัพเวียดนามต่อมาอีกเป็นเวลากว่า 10 ปี.