กรุงเทพฯ - บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) (Thai Hua Rubber Public Co.Ltd.) จากประเทศไทย ได้ตกลงร่วมทุนกับบริษัทลาวเพื่อก่อตั้งบริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด ใน สปป.ลาว โดยมีเป้าหมายปลูกยางพาราครอบคลุมพื้นที่ 5 แขวงในลาวบนพื้นที่รวมกว่า 187,500 ไร่ (30,000 เฮกตาร์) ทั้งในรูปแบบเกษตรพันธะสัญญาและเช่าที่ดินปลูกเอง โดยแปฃงแรกในวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในเขตเมืองทุละคม แขวงเวียงจันทร์ รวมเนื้อที่ 12.5 ไร่ (2 เฮกตาร์)
บริษัท ไทยฮั้ว ยางพารา จำกัด ได้ร่วมกับ บริษัท นิวจิบเซง จำกัด ใน สปป.ลาว ตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นเพื่อทำสวนยางพาราตามแผนให้ได้บนเนื้อที่กว่า 187,500 ไร่ (30,000 เฮกตาร์) ใน 5 แขวงใน สปป.ลาว คือ นครหลวงเวียงจันทน์ แขวงเวียงจันทน์ บอลิคำไซ คำม่วน และสะหวันนะเขต ซึ่งทางบริษัทได้ตกลงเอาแขวงเวียงจันทน์ เป็นหนึ่งในแขวงเป้าหมายสำคัญในโครงการปลูกยาง
ทางแขวงเวียงจันทน์ได้อนุญาตให้สัมปทานที่ดินเขต บ้านนาเพี้ย จำนวน 625 ไร่ ให้บริษัทดังกล่าวบุกเบิก และปลูกยางพาราให้ทันในปี 2549 นี้ นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้ดำเนินโครงการอบรมส่งเสริมชาวสวนที่เมืองโพนโรง เมืองเฟือง และเมืองทุละคม ในเนื้อที่ประมาณ 250 ไร่ รวมประมาณกว่า 20 ครอบครัว ในฤดูปลูกประจำปี 2549
บริษัทไทยฮั้วจะส่งเสริมเกษตรกรลาว ด้วยการให้สินเชื่อ ต้นกล้า และอื่น ๆ รวมทั้งการสนับสนุนทางด้านวิชาการ แล้วลงนามในข้อตกลงเก็บซื้อผลผลิต โดยคาดว่าจะดำเนินการในลักษณะนี้ให้ได้ในพื้นที่ 93,750 ไร่ (15,000 เฮกตาร์) และเป็นแบบที่บริษัทได้รับสัมปทานที่ดินจากรัฐเพื่อปลูกยางในพื้นที่ซึ่งเป็นสวนของบริษัทเองอีก 93,750 ไร่ ในมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 34.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในกำหนดเวลาการปลูกยางพารา 4 ปี คือให้สำเร็จในปี 2552
พิธีเริ่มปลูกต้นยางพาราในครั้งนี้ มีนายสมเพ็ด ทิบมาลา เจ้าแขวงเวียงจันทน์ นายหลักชัย กิตติพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทไทฮั้ว ประธานบริษัทนิวจิบเซง จำกัด ของฝ่ายลาว หัวหน้าแผนกกสิกรรม - ป่าไม้แขวง และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่
บริษัทไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) จัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ ปี 2528 โดยใช้ชื่อว่า Thaihua Rubber Company Limited มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และมีแหล่งการผลิตในเครือบริษัทอีก 10 แห่ง ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ หาดใหญ่ กระบี่ ระยอง ตรัง เป็นต้น รวมทั้งสำนักงานสาขาอีกแห่งหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ของจีน
ตามข้อมูลของบริษัทนั้น ตั้งแต่ปี 2534 ไทยฮั้วยางพาราได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งบรรดาผู้ผลิตและส่งออกยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ในปัจจุบันความต้องการยางพาราในตลาดระหว่างประเทศยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดขนาดใหญ่อย่างจีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และจากการที่ประเทศไทย อินโดนีเซียกับมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่สามารถผลิตยางพาราได้น้อยลงเนื่องจากผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก็ยิ่งเป็นผลทำให้ราคายางในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเพิ่มขึ้นถึง 40-70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันเลยทีเดียว
การที่บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) สร้างสรรค์แหล่งเพาะปลูกยางพาราที่มีศักยภาพแห่งใหม่บนพื้นที่ในประเทศลาว เช่นเดียวกันกับนักลงทุนจากเวียดนาม จีน และรายอื่นๆ จากประเทศไทย เป็นการสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก จึงนับเป็นช่องทาง และโอกาสอันดีในการส่งออกยางพาราของประเทศไทยสู่ตลาดโลกได้
รัฐบาลลาวกำลังส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนด้านการเกษตรเพื่อการส่งออก เพื่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศ สอดคล้องกับโครงการขจัดความยากจนของประชาชนในประเทศ อันเป็นนโยบายสำคัญเฉพาะหน้าของทางการคอมมิวนิสต์ลาว.