สื่อของทางการลาวได้ออกโรงวิพากษ์การแต่งกายและการไว้ทรงผมของหนุ่มสาวในยุคใหม่ ที่ข้ามเส้นแห่งวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ พร้อมทั้งเตือนคนเหล่านั้น "อย่าเป็นวัวลืมตีน" ลืมวัฒนธรรมอันดีงามของลาว ทั้งเรียกร้องให้รับเอาวัฒนธรรมต่างชาติที่เป็นประโยชน์ และเลือกอย่างจำแนก
"ผู้ชายไว้ผมยาวตั้งบ่า สวมต่างหู ส่วนผู้หญิงตัดผมสั้น ย้อมสีทอง นุ่งกางเกงเอวต่ำ ใส่เสื้อสายเดี่ยวที่เปิดเผยทรวงอก และเผยให้เห็นท้องน้อย เห็นแล้วละอายใจ...” คอลัมนิสต์คนหนึ่งได้ออกโรงวิพากษ์หนุ่มสาวสมัยใหม่ ในหัวเรื่อง "อย่าเป็นวัวลืมตีน" ใน หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่ ฉบับเมื่อเร็วๆ นี้
ผู้เขียนกล่าวว่าโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ได้ทำให้ฮีดคองประเพณีอันดีงามของชาติลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งกายนั้นเปลี่ยนไป ความเก่าและความใหม่ขัดแย้งกันอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเมื่อก่อนนี้ผู้หญิงลาวจะแต่งกายนุ่งซิ่นไหมเบี่ยงแพรและเกล้ามวยผม ซึ่งเป็นแบบประเพณีอันดั้งเดิม ส่วนผู้ชายก็จะตัดผมเปิดหรือจัดผมจอน นุ่งเสื้อแพรสไบคอจีนและพาดผ้าวา
ผู้เขียนได้ยกคำพังเพยบทหนึ่งว่า.. "เพิ่นว่า... บ่อนใดมีหมากเคี้ยว ปากเป่าแกมแดง.. กินข้าวเหนียวกับปลาแดก ปากจาเสียงน้อม.. มวยผมเกล้า สไบบางบิ้งเบี่ยง.. กิริยาเรียบร้อย ไผก็เอิ้นว่าเป็นลาว ท่านเอ๊ย.." พร้อมทั้งเรียกร้องให้เยาวชนคนหนุ่มสาวช่วยกันอนุรักษ์ฮีดครองประเพณีต่างๆ เอาไว้ เนื่องจากว่าฮีดครองปีระเพณีและวัฒนธรรมนั้น บ่งบอกถึงความเป็นชาติอย่างแท้จริง
"สีสันของวัฒนธรรมก็คือ สีสันของชาติ หากทุกคนไม่ช่วยกันอนุรักษ์แล้ว วัฒนธรรมของชาติลาวก็จะอยู่ไม่ได้ ดังสุภาษิตบทหนึ่งที่บอกว่า -วัฒนธรรมบอกชาติ มารยาทบอกตระกูล"
ผู้เขียนยังกล่าวอีกว่า การรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติเข้าลาวนั้น จำเป็นจะต้องรู้จักจำแนก คือ รับเอาส่วนที่เป็นประโยชน์ในการส่งเสริมให้วัฒนธรรมของชนชาติลาวได้รู้จักแพร่หลาย เชื่อมวัฒนธรรมชนชาติลาวเข้ากับวัฒนธรรมสากล หากไม่เช่นนั้น "ซิ่นไหมแพเบี่ยงก็จะบินข้ามโขงไปอยู่ตะวันตก เหลือแต่เพียงความทรงจำที่ไม่มีตัวตนเท่านั้น
น่าเสียดายถ้าหาก “คนลาวลืมแคนลาว ลืมข้าวเหนียวปลาแดกไปอย่างไม่รู้สึกตัว" สื่อของทางการลาวกล่าว.