xs
xsm
sm
md
lg

แบ๋งจึง.. ความหมายลึกล้ำในวันตรุษ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


(บทเขียนโดย เหวียนเหวียดหุ่ง: ผู้จัดการรายวัน)


อีกวันสองวันเมทศกาลตรุษเวียดนามก็จะสิ้นสุดลงแล้ว อันว่า “ตรุษเวียดนาม” นี้ ในภาษาเวียดนามจะเรียกกันว่า “เต๊ด” (Tet) บางคนเรียกว่า “ตรุษญวน” แต่ฟังแล้วทะแม่งๆ ชอบกล ถ้าสะดวกก็น่าจะหันมาใช้ “ตรุษเหวียด” หรือไม่ก็เรียกทับศัพท์กันไปเลยว่า “เต๊ด” ฟังแล้วเพราะดีกว่ากันเป็นไหนๆ

แต่วันนี้ตั้งใจจะว่าด้วยเรื่อง แบ๋งจึง (Banh Chung) ขนมที่ขาดไม่ได้ในวันตรุษ

ในวันนี้ ที่ 27 ม.ค. 2006 ถ้าคิดเป็นปฏิทินประจำชาติของเวียดนาม จะตรงกับวันที่ 29 เดือน 12 เพราะฉะนั้น วันถัดมา คือ วันที่ 28 ม.ค. ก็จะเป็นวันสิ้นปี ก็คือวันที่ 30 เดือน 12 และ ในวันที่ 29 ม.ค. ก็จะเป็นวันขึ้นปีใหม่ คือวันที่ 1 เดือน 1 ปีจอ ซึ่งนั่นก็คือ คืนวันที่ 28 ม.ค. จะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ของชาวเวียดนามนั่นเอง

ชาวเวียดนามให้ความสำคัญแก่วัน Tet นี้มาก สมาชิกในครอบครัวถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ ละก็ยังไงๆ ก็จะต้องหาทางกลับบ้านเพื่อรวมหมู่เครือญาติพี่น้องให้ได้ ถ้าช่วงนี้ท่านไปที่เวียดนามจะเห็นความวุ่นวายสับสนในการเดินทางมากไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน รถไฟ รถยนต์ มอไซด์ จักรยาน ... เต็มถนนหนทางไปหมด

คนทำงานทางเหนือจะกลับไป “อันเต๊ด” (an Tet-การกินเลี้ยงฉลองวันขึ้นปีใหม่) ทางใต้ คนทำงานภาคใต้จะกลับ “อัน เต๊ด” ที่ภาคกลาง ...เป็นภาพที่เห็นแล้วทำให้หัวใจของเราเบิกบาน เป็นภาพที่ให้ความเป็นสุขแก่ผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก นั่นหมายถึงการให้ความสำคัญ ให้ความเคารพ แก่ครอบครัว แก่บรรพบุรุษของพวกเขา และเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชนชาติเวียดนามไว้สืบนานเท่านาน

ในช่วงแห่ง Tet นี้ ไปแห่งหนใดท่านจะยินประโยค “จุ๊ก มึ่ง นัม เหม่ย” (Chuc mung nam moi) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่า “สวัสดีปีใหม่” หรือ “อวยพรปีใหม่” ทำนองนั้น ขอย้ำนิดนึงนะครับ คำว่า “มึ่ง” นั้นมีไม้เอกอยู่ด้วยนะครับ ขอความกรุณาอ่านไม้เอกกำกับด้วยนะครับ มิฉะนั้นความหมายก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ประเพณี Tet ของชาวเวียดนามนั้นมีมาเนิ่นนานมาก และก็มีธรรมเนียมการปฏิบัติมากมายหลายอย่างเป็นที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมของชนชาติใดไม่ว่าเล็กว่าใหญ่ แต่เมื่อล้วงลึกลงไปจะเห็นความสวยงามอันแฝงเปี่ยมไปด้วยปรัชญาในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าเลยทีเดียว

หนึ่งในหลายต่อหลายสิ่งที่แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวจะขาดเสียไม่ได้ในช่วงเทศกาลวัน Tet นั่นก็คือ “แบ๋งจึง” (Banh Chung) ถ้าบ้านไหนขาด แบ๋งจึง ก็จะไม่ถือว่ามีวันขึ้นปีใหม่เลยทีเดียว แต่ละครอบครัวอาจจะทำกันขึ้นเอง หรือไม่ก็สั่งจากร้านผู้มีความชำนาญมีชื่อเสียงสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน หรือไม่ก็ซื้อกันตามท้องตลาดก็ได้ ถือว่าไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด ขอให้มีไว้รับประทานหรือรับรองแขกเหลื่อมละก็เป็นใช้ได้

แบ๋งจึง ก็เลยเป็นขนมคู่กับวันตรุษเลยทีเดียว มีบางท้องถิ่นเรียกว่า “แบ๋งเต๊ด” (Banh Tet-ขนมวันปีใหม่) เพื่อให้มีความขลังเพิ่มขึ้น คือพอพูด-ฟังปั๊บรู้ปุ๊บว่ามีให้รับประทานเฉพาะวัน Tet เท่านั้น ช่วงเวลาอื่นหาชิมไม่ได้... เพราะฉะนั้น “เต๊ด – แบ๋งจึง” นั้นแยกกันไม่ออก ขึ้นปีใหม่ต้องได้กินแบ๋งจึง ถ้าได้กินแบ๋งจึงนั่นคือกำลังก้าวเข้าสู่ปีใหม่

แบ๋งจึง เป็นขนมข้าวเหนียวต้มลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านยาวประมาณ 20 ซม. มีไส้ถั่วเขียวบดและหมูสามชั้นเนื้อเยอะๆ มันน้อยๆ อยู่ตรงกลาง ห่ออยู่ในใบไม้สีเขียวยาวเรียวชนิดหนึ่ง ทางภาษาเวียดนามเรียกว่า “หลา-ยวอง” (la dong) และมัดอย่างแน่นหนาด้วยตอกไม้ไผ่ และนำไปต้มในไฟอ่อนๆ อย่างน้อย 72 ชั่วโมง โดยต้องหมั่นเติมไฟและต้องหมั่นดูน้ำให้ท่วมอยู่เสมอ

ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้มีความชำนาญบอกว่า การต้มนั้นต้องใช้ไฟอ่อนๆ และต้องใช้ฟืนหรือไม่ก็ถ่านหิน จึงจะอร่อย หากใช้แก็สหุงต้มแล้วละก็.. รสชาติใช้ไม่ได้เลยทีเดียว หลังจากที่ต้มกันแบบมาราธอนซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ต้อง 3 วันขึ้น ก็ถึงเวลาที่จะต้องตักขึ้น ยังครับ ยังชิมไม่ได้ครับ ต้องตัก แบ๋งจึง ขึ้นมาวางเรียงรายบนโต๊ะที่แข็งแรง เป็นโต๊ะหินละก็ดีทีเดียว จากนั้นต้องนำแผ่นหินหนักมาทับเพื่อรีดน้ำให้ออกจากภายในของขนม จากนั้นนำไปล้างน้ำให้เปลือกรอบนอกของแบ๋งจึงให้สะอาดน่ารับประทาน

กระบวนการทำแบ๋งจึงอย่างคราวก็จบลงอย่างง่ายดาย แต่ในความเป็นจริงนั้นมีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่งอย่างน้อยก็ต้องมี 4-5 วันถึงจะได้กิน ประเภทเด็กๆ นั่งรอชิมกันจนเบื่อนั่นแหละครับ... ส่วนกรรมวิธีเคล็ดลับที่จะทำให้มีรสชาติออกมาสะเด็ดสะเด่าสะกิดลิ้นผู้ชิม ละก็คงต้องตามไปศึกษากันที่เวียดนามโน่นละครับ ...

ขึ้นชื่อว่าเป็นขนมประจำชาติในวันตรุษ และมีวัฒนธรรมสืบเนื่องมาหลายศตวรรษนั้น แน่นอนต้องมีความหมายที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว ในชาวเวียดนามสมัยก่อนมีทัศนคติว่า “ท้องฟ้ากลม พื้นดินสี่เหลี่ยม” แบ๋งจึง มีรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสเปรียบเช่นพื้นแผ่นดิน เป็นตัวแทนของแม่ ของความงดงามและละเอียดอ่อน การห่อขนม แบ๋งจึงนั้นมีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควร

แบ๋งจึงถูกห่อด้วยใบ หลา-ยวอง สีเขียว ภายหลังที่ต้มจนสุกแล้วเมื่อเปิดขนมออกมาจะมีสีเขียวอ่อนของต้นกล้าข้าว นั่นเปรียบเสมือนทุ่งต้นกล้าอันอ่อนนุ่มของชาวนา ทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่มของชาวไร่ชาวเกษตรกร นั่นคือธรรมชาติอันสดชื่นที่ทุกคนปรารถนา

แบ๋งจึง ห่อขึ้นเป็นรูปสี่เหลี่ยม แสดงถึง ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง เป็นธรรม ไม่คดในข้องอในกระดูก สี่เหลี่ยมแสดงถึงความเด็ดขาดในการตัดสินใจ

แบ๋งจึง ถูกห่อด้วยใน หลา-ยวอง อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4- 5 ชั้น แสดงถึงจิตใจของผู้เป็นแม่ที่โอบอุ้มลูกสุดที่รักของตนเองไว้ตั้งแต่ลืมตาดูโลก แม่ยินดีทนทุกข์ทรมานเพื่อให้ลูกน้อยได้เติบใหญ่ประสบความสำเร็จสืบไป วันตรุษ วันรวมครอบครัว ทุกคนกินแบ๋งจึงนั่นคือความรำถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้า ได้อยู่กับแม่ พี่น้องอุปถัมภ์ค้ำชูซึ่งกันและกัน วันตรุษเป็นวันที่มีความสุขที่สุดของครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

วิธีแกะ แบ๋งจึง ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ แกะ ใจร้อนเป็นพัง ต้องแกะใบหุ้มออกทีละชั้นๆ ตามลำดับขั้นตอน นั่นคือการสอนการทำงานอย่างมีความอดทน ละเอียดอ่อน และเป็นขั้นเป็นตอน

แบ๋งจึง มีนัยแห่งความเสมอภาคของสังคมอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือการเสมอภาคในการตัดแบ่งแบ๋งจึง การตัดนั้นต้องใช้ตอกไม้ไผ่บางๆ ตัด โดยการวางตอกใน 4 ด้าน 2 เส้นตั้งฉาก และ 2 เส้นทแยง จากนั้นทำการตัดโดยการถึงตอกเข้าหากัน ผลที่ได้จะแบ่ง แบ๋งจึงออกเป็น 8 ส่วน ที่มีทั้งข้าวเหนียวรอบนอก และส่วนไส้ของถั่วเขียวบดและหมูสามชั้นอย่างเสมอภาคกันทั้ง 8 ชิ้น...

หากท่านผู้อ่านมีโอกาสไปเที่ยวเวียดนามในช่วงนี้คงจะได้ชิม แบ๋งจึง กันเต็มที่เลยทีเดียว... ถ้าหากนำชิ้นแบ๋งจึงไปทอดในกระทะพอให้ข้าวเหนียวรอบนอกเกรียมหน่อยๆ นะ ... โอ้จอร์จ... พระเจ้า.. หร่อยอย่าบอกใครเลยเชียว...








กำลังโหลดความคิดเห็น