xs
xsm
sm
md
lg

เฝอ.. ชามร้อนแสนอร่อยนี้ มีที่มาที่ไป

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




"เฝอ" อาหารยอดนิยมของเวียดนามเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก อร่อย.. แต่ก็ยังมีความลี้ลับอยู่เยอะในเรื่องที่มาที่ไป มีใครบ้างที่รู้ว่า อาหารชามร้อนนี้ มีความเป็นมาอย่างไร หรือว่ามาจากไหน?

นักวิชาการแตกออกเป็น 2 ความคิด ฝ่ายหนึ่งบอกว่า เฝอ น่าจะมาจากประเทศจีน หรือไม่ก็ประเทศฝรั่งเศส โดยได้ทฤษฎีมาจากการออกเสียงของคำว่า เฝอ นั่นเอง นายเหวียนตุ่ง (Nguyen Tung) นักมานุษยวิทยา ผู้ทำการศึกษาวิจัยอาหารเวียดนามในฝรั่งเศสมีความเห็นเช่นเดียวกับ นายจอร์จ ดูมูติเอย์ นักเขียนร่วมสมัย ซึ่งเชื่อว่า เฝอนั้น เริ่มมีปรากฎในประเทศเวียดนาม ประมาณปี 2450

นายตุ่งให้ความเห็นว่า เฝอ อาจจะได้รับอิทธิพลมาจากจีนกวางตุ้ง จากการออกเสียง คำว่า "ฝัน" (fun) ที่แปลว่า ก๋วยเตี๋ยว ดังนั้นแหล่งต้นกำเนิด เฝอ น่าจะมาจากชาวจีนอพยพ ที่เดินทางไปยังดินแดนเวียดนามในช่วง ศตวรรษที่ 19 และนำเอาวิธีการทำอาหารจีนเข้าไปด้วย ต่อมาชาวเวียดนามได้ดัดแปลงอาหารจีนเหล่านั้นในแบบของตนเอง

ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นความเห็นของ ผู้สื่อข่าวของนิตยสาร New York Times นาย อาร์.ดับเบิลยู. แอปเปิ้ล จูเนียร์ หลังจากที่ได้เดินทางไปเวียดนามในสมัยสงคราม เมื่อลองลิ้มรสชาติของเฝอเข้าไป จึงทำให้มีความคิดว่า เฝอ นั้นน่าจะมาจากอาหารฝรั่งเศสที่ทำจากเนื้อ ที่เรียกว่า Pot au feu (โป โอ โฟ) ที่อาจจะข้าไปในช่วงที่เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส โดยอาหารจานนี้ประกอบด้วยเนื้อวัว 4 แบบ และผักอีก 4 ชนิด

เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาหารจีน หรืออาหารฝรั่งเศส ต่างก็ขาดองค์ประกอบที่สำคัญของเฝอ โดยก๋วยเตี๋ยวแบบจีนนั้น ไม่ได้เน้นความสำคัญไปที่น้ำซุป ในขณะที่ Pot au feu มีน้ำซุปชั้นยอด แต่กลับมีผักเป็นส่วนสำคัญมากกว่าเส้น ซึ่งไม่แน่ว่า ชาวเวียดนามอาจจะนำส่วนประกอบของอาหารแต่ละชนิด มาประกอบกันแล้วสร้างเป็นอาหารจานใหม่ขึ้นมาที่เป็นลักษณะเฉพาะในรูปแบบของตนเอง

ในเวียดนามนั้น เฝอ ได้รับความนิยมแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นอาหารประจำชาติที่ทานกันได้ทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนในเวียดนาม ก็สามารถที่จะพบร้านขายเฝออยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นร้านแผงลอยเล็กๆ ข้างทาง ไปจนถึงบนห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งไม่เพียงแค่ชาวเวียดนามเท่านั้นที่ทาน เฝอ ไม่ว่าจะไปกรุงฮานอย หรือไปกรุงปารีส คุณจะได้กลิ่นอันหอมหวล และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร

เฝอ เริ่มต้นออกเดินทางไปทั่วโลกในช่วงปี 2453-2455 จากการที่ชาวเวียดนามถูกเกณฑ์ไปช่วยฝรั่งเศสรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อป้องกันการรุกรานของประเทศเยอรมนี ผู้ที่รอดชีวิตจากสงครามในครั้งนั้น ได้ตั้งรกรากและเปิดร้านอาหารอยู่ในต่างแดน

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเวียดนามจำนวนมากถูกเกณฑ์เป็นทหารสนับสนุนฝรั่งเศสอีกครั้ง เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ผู้ที่รอดชีวิตได้รับสัญชาติเป็นคนฝรั่งเศส และได้รับอนุญาตให้ตั้งอาศัยอยู่ในฝรั่งเศส รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในอาณานิคมของฝรั่งเศสด้วย นับเป็นชาวเวียดนามรุ่นที่สองที่อพยพไปอยู่ต่างประเทศ พร้อมกับได้นำเอาอาหารท้องถิ่น คือ เฝอ ไปยังทวีปยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง ไปจนถึงไมโครนีเชีย ซึ่งไม่เป็นเรื่องแปลกหากจะพบร้านอาหารเวียดนามใน ประเทศไอวอรี่โคสท์ เซเนกัล ปอนดิเชอร์รี่ หรือ มาซีโดเนีย

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ เฝอ เนื่องจากสนธิสัญญาเจนีวาในปี 2497 ได้กำหนดให้มีการแบ่งประเทศเวียดนามออกเป็นสองส่วนชั่วคราว ทำให้มีชาวเวียดนามหลายแสนคนได้อพยพจากภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ ชาวเวียดนามที่อพยพลงไต้นั้นได้แนะนำให้เพื่อนร่วมชาติเดียวกัน ได้รู้จักลิ้มลองรสชาติของ เฝอ ซึ่งชาวภาคใต้เองได้ดัดแปลง เฝอ ให้มีส่วนผสมเพิ่มขึ้นไปอีก โดยใส่ ถั่วงอก ใบโหระพา ผักหอม และสมุนไพรอื่นๆ ลงไป ตามที่หาได้ทั่วไปในพื้นที่ที่มีอุณภูมิอบอุ่น ทำให้เฝอ ในเวียดนามมีทั้ง เฝอสไตล์ภาคใต้ และเฝอสไตล์ฮานอย ที่จะไม่มี ถั่วงอก และใบโหระพา

ปัจจุบันเฝอได้กระจายไปสู่ทุกมุมโลกโดยชาวเวียดนามอพยพราว 3 ล้านคน ใน 12 ประเทศ จากเดนมาร์ก ไป นิวซีแลนด์ จากญี่ปุ่น ไปสู่อิสราเอล ในปัจจุบันนี้ เฝอ ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมจากคนทั่วทุกมุมโลก เหมือนเป็นอาหารประจำชาติของเวียดนามไปแล้ว เฉกเช่นเมื่อนึกถึง "ต้มยำกุ้ง" ก็เป็นที่เข้าใจกันถ้วนทั่วแล้วว่าทุกคนจะต้องนึกถึงประเทศไทยเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน

ดังนั้นผู้ที่เดินทางไปเยือนประเทศเวียดนาม อย่าลืมแวะชิมลิ้มรสชาติ "เฝอ" ต้นตำรับ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนไปไม่ถึงเวียดนาม..





กำลังโหลดความคิดเห็น