ผู้จัดการรายวัน- ทางการนครหลวงเวียงจันทน์จะจัดงานบุญออกพรรษาปวารณา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตาม เช่นเดียวกันกับทุกปี ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 18 ต.ค. และเมื่อกล่าวถึงงานบุญเทศกาลนี้ ชาวลาวจะนึกถึงอีกงานหนึ่งที่มีเคียงคู่กัน นั่นก็คือ "บุญเรือไฟ" ที่มีอยู่ 2 ประเภทคือ เรือไฟน้ำ และเรือไฟโคก (บก)
ต่างกับทางฝั่งไทย การไหลเรือไหลของชาวลาวนั้นมีขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระคุณของบิดารมารดา และ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการบูชาพญานาคเลย
ประเพณีบุญเรือไฟเป็นอีกหนึ่งความงดงามทางด้านวัฒนธรรมประเพณีที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาผ่านหลายชั่วอายุคน แต่ในยุคสมัยนี้ก็ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่า การไหลเรือไฟ และ การลอยกระทงนั้น เป็นงานประเพณีเดียวกัน ทั้งที่ความจริงแล้ว แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
คอลัมน์ "เว้าสู่กันฟัง" (เล่าสู่กันฟัง) ของหนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่ฉบับเมื่อร็วๆ นี้ ได้ยกนิยายปรัมปราเกี่ยวกับประเพณีบุญเรือไฟที่เล่าสืบทอดกันมา ซึ่งเป็นนิยายปรำปราเกี่ยวกับพระยากาเผือก ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการบูชาพญานาคอย่างในตำนานไหลเรือไฟทางฝั่งไทย
ตำนานไหลเรือไฟของลาวมีอยู่ว่า แต่ก่อนมีคู่ผัวเมียพระยากาเผือก ทำรังอยู่ที่ต้นไม้เดื่ออยู่ริมฝั่งแม่น้ำ มีไข่ฟองที่หนึ่งตกจากรังไหลไปที่ท่าน้ำพระยากุกุสันโท (ไก่) ซึ่งเก็บเอาไปฟัก ไข่ฟองที่ 2 ไหลไปอยู่ที่ท่าน้ำของพระยาโกนาคะมะโน (นาค) ซึ่งก็ได้นำไปฟักเช่นกัน ไข่ฟองที่ 3 ตกและไหลไปอยู่ที่ท่าน้ำของพระยากัดสะโป (เต่า) ก็ได้เอาไปฟักไว้ ไข่ฟองที่ 4 ไหลไปตกอยู่ที่ท่าน้ำของพระยาโคตะโม (วัว) ซึ่งก็ได้นำไปฟักไว้ และไข่ฟองที่ 5 ไหลไปอยู่ที่ท่าน้ำของพระยาลาชะสี (สิงห์) ก็ได้นำไปฟักเช่นกัน
จากนั้นไข่ทั้งห้าฟองนั้นก็ได้ฟักออกมาเป็นมนุษย์ พอเจริญวัยขึ้นมาก็คิดอยากออกบวชเป็นพระฤาษีธรรมโพธิสัตว์ เมื่อออกบวชแล้ว ทุกรูปก็มีใจอยากเห็นหน้าบิดาผู้บังเกิดเกล้า จึงออกตามหา
มีครั้งหนึ่งที่ทั้งห้าได้มาพบกัน และสนทนาปราศรัยโดยบังเอิญ
ปรากฏว่าความตั้งใจของฤาษีแต่ละตน ช่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดีแท้ ซึ่งหมายความว่าอาจมีบิดา มารดาเดียวกัน ในทันใดก็เลยร้อนถึงบิดา มารดาที่อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เลยเสด็จลงมา แล้วกล่าวขึ้นว่า บิดาของพวกเจ้าก็คือพวกเราพระยากาเผือก
เมื่อรู้แล้วว่าผู้ใดคือบิดามารดาของตน ฤาษีทั้ง 5 ก็แสดงความเคารพ พระยากาเผือจึงเล่าเรื่องในอดีตให้ลูกๆ ฟัง แล้วก็กลับขึ้นสู่สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ก่อนจะกลับนั้นลูกทั้ง 5 ก็ได้ร้องขอให้พระยากาเผือกประทับรอยเท้าไว้บนหินศิลาเพื่อไว้เคารพบูชาในยามระลึกถึง
พระยากาเผือกจึงสั่งลูกทั้ง 5 ไว้ว่า เมื่อถึงยามวันเพ็ญเดือน 11 ของทุกปีให้พวกลูกม้วนเชือกด้ายดิบ (ฝั้นฝ้าย)แล้วนำมาวางใส่ถ้วย หรือจาน แล้วเทน้ำมันใส่ และนำไปวางบนตัวไม้ที่แกะสลักเป็นรูปเรือ ให้เรียงเป็นระเบียบสวยงาม แล้วจุดไฟ จากนั้นก็ปล่อยให้ไหลไปตามลำแม่น้ำ
หลังจากพูดจบแล้วก็หายตัวไป ส่วนลูกทั้ง 5 ก็ถือเอานามของผู้ที่เก็บไข่ไฟฟักและเลี้ยงดูมา เป็นชื่อของตน แต่นั้นมาจึงเป็นที่มาของชื่อที่ชาวลาวเรียกกันว่า "พระเจ้าห้าพระองค์" คือ กุกุสันโท โกนาคะมะโน กัดสะโป โคตะโม และลาชะสี มาจนถึงทุกวันนี้
ด้วยเหตุนี้ ชาวลาวที่นับถือศาสนาพุทธ จึงได้ประดิษฐ์เรือไฟเป็นประเพณีในเทศกาลออกพรรษาปวารณา เพื่อระลึกถึงบุญคุณบิดามารดา และบูชาพระรัตนตรัย โดยการปล่อยให้ไหลไปตามลำน้ำ หรือ บางท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากแม่น้ำ ก็สามารถทำ "เรือไฟโคก" ขึ้นแทน ดังนั้นลาวจึงพากันเรียกว่า “เรือไฟ” และก็ถือเอาเป็นแบบอย่างสืบทอดเป็นประเพณีสืบต่อกันมาตราบเท่าทุกวันนี้
จากตำนานข้างต้นจึงเข้าใจได้ว่าประเพณีไหลเรือไฟนั้น มีความหมายแตกต่างกันกับประเพณีลอยกระท เพราะการประดิษฐ์กระทงนั้น เป็นอีกพิธีกรรมหนึ่งที่นิยมทำเพื่อสะเดาะเคราะห์ โดยการนำกาบกล้วยมาเป็นพาน แล้วใสของหวานของคาวลงไปแล้วนำไปไว้ตามสถานที่ที่เหมาะสม หรือปล่อยให้ไหลไปตามแม่น้ำ
งานประเพณีไหลเรือไฟในเทศกาลงานบุญออกพรรษานี้ จัดดขึ้นในวันอังคารที่ 18 ต.ค.นี้ ในเมืองจันทะบูลี นครหลวงเวียงจันทน์ มีการจัดงานบุญแข่งเรือ และ ไหลเรือไฟประจำปี โดยทางการลาวได้มีการเน้นให้มีการประดิษฐ์ทำเรือไฟให้ถูกต้องตามประเพณีดั้งเดิมที่ดีงาม ด้วยการใช้วัสดุธรรมชาติ รวมทั้งมีการจัดการประกวดเรือไฟที่มีคุณสมบัติที่สวยงามและถูกต้องตามประเพณีด้วย
ส่วนความเชื่อในประเพณีไหลเรือไฟทางฝั่งไทยที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันมานานตั้งแต่โบราณกาลนั้น มีความเชื่อว่าเป็นการจัดทำขึ้นเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท การสักการะท้าวพกาพรหม การบวงสรวจพระธาตุจุฬามณี และการระลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคาการขอฝน การเอาไฟเผาความทุกข์ และการบูชาพระพุทธเจ้า
ประเพณีการไหลเรือไฟบางที่เรียกว่า "ล่องเรือไฟ" "ลอยเรือไฟ" หรือ "ปล่อยเรือไฟ" ซึ่งเป็นลักษณะที่เรือไฟเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ
เรือไฟหรือ "เฮือไฟ" หมายถึง เรือที่ทำด้วยท่อนกล้วย ไม้ไผ่หรือวัสดุที่ลอยน้ำ มีโครงสร้างเป็นรูปต่างๆ ตามต้องการ เมื่อจุดไฟใส่โครงสร้าง เปลวไฟจะลุกเป็นรูปร่างตามโครงสร้างนั้น งานประเพณีไหลเรือไฟ นิยมปฏิบัติกันในเทศกาล ออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11
ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ข้อมูลวัฒนธรรมตามพระราชดำริ (http://kanchanapisek.or.th/kp8/ nkp/nkp301.html) ความเชื่อถือนี้ สืบมาจากการบูชารอยพระพุทธบาท ที่ประทับไว้ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ในแคว้นทักษิณาบท ประเทศอินเดีย ซึ่งเชื่อว่า ในครั้งที่พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมในพิภพของนาค เมื่อเสด็จกลับพญานาคได้ทูลขอให้พระองค์ ประทับรอยพระบาทไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที พระองค์จึงได้ประทับรอยพระบาทไว้ตามความประสงค์ของพญานาค
รอยพระบาทที่ทรงประทับไว้นี้เป็นที่เคารพ ของเทวดามนุษย์ตลอดจนถึงสัตว์ทั้งหลาย ผู้ซึ่งต้องการบุญกุศล
เหตุนี้การไหลเรือไฟ จึงถือว่าเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทซึ่งมีคำบูชาว่า "อะหัง อินิมา ปะทีเปนะ นัมมากายะ นะทิยา ปุเลนิ ปาทะวะอัญชัง อภิปูเชมิ อะยัง ปะทีเปนะ มุนิโน ปาทะวะอัญชัง ปูชา มัยหัง ทีฆรัตตัง หิ ตายะ สุขายะ สังวัตคุะตุ "
คำแปลก็คือ - ข้าพเจ้าขอน้อมบูชารอยพระบาทของพระมุนีเจ้า อันประดิษฐานอยู่ ณ หาดทรายแห่ง แม่น้ำนัมมทานทีโพ้นด้วยประทีปนี้ ขอให้การบูชารอยพระบาทสมเด็จพระมุนีเจ้าด้วยประทีป ในครั้งนี้จงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้า ทั้งหลายตลอดกาลนานเทอญ.