เรื่องและภาพโดย ลำนำ สาละวัน
อีกไม่นานข้างหน้า คนในอนุภูมิภาค ไทย ลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม ภาคใต้ของจีน และแม้แต่มาเลเซีย จะนิยมเดินทางท่องเที่ยวไปมาหาสู่กันทางบก และการเดินทางไปตามถนนจะไม่ใช่เรื่องยากลำบากหรือเสียเวลาอีกต่อไป
ภาพในจินตนาการที่ผู้อำนวยการหอการท่องเที่ยว จ. กว่างนาม ของเวียดนาม นายดิงฮาย (Dinh Hai) ที่บอกว่า “ผมอยากเห็นคนไทยทานอาหารเช้าที่กรุงเทพฯ ทานข้าวกลางวันที่ลาว และมาเล่นน้ำทะเลในตอนเย็นที่เวียดนาม” ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ
ที่แน่ๆ เส้นการเดินทางที่เกิดขึ้นแน่นอน และจะเป็นที่นิยมก่อนใครคือ เส้นทางจากมุกดาหารสู่เมืองโฮยอานของเวียดนาม ด้วยระยะทาง 530 กม.
เส้นทางนี้ ใช้เวลา 12-13 ชม. เท่านั้น รวมทานข้าวเช้า-กลางวัน กับเวลาที่ด่านตรวจชายแดนที่ด่านแดนสะหวัน และด่านลาวบาว
หากเดินทางจากกรุงเทพฯ ก็จะรวมเป็น 1,250 กม. ใช้เวลา 24 ชม. เต็ม
และมีความเป็นไปได้แน่นอนว่าจะร่นระยะเวลาลงไปอีก 2-3 ชม. เมื่อการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ระหว่างมุกดาหารและสะหวันนะเขต และถนนหมายเลข 9 ช่วงด่านลาวบาวถึงดงห่าในเวียดนาม เสร็จเรียบร้อย ซึ่งคาดว่าจะภายในปีนี้
สำหรับอุโมงค์ฮายวัน ทางลัดลอดใต้ภูเขาจากเมืองเว้ไปยังดานัง-โฮยอาย จะเปิดใช้งานในกลางเดือนหน้า
หากไม่รีบร้อน การเดินทางจากมุกดาหารสู่โฮยอาน ไปพร้อมกับการชมทิวทัศน์และวิถีชีวิตเพื่อนบ้าน ชมสถานที่ระหว่างทาง แวะค้างตามเมืองที่ผ่าน ใช้เวลาสัก 3-4 วัน ก็จะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่วิเศษทีเดียว
** ข้าวเช้าที่มุกดาหาร แล้วลงเรือสู่ ‘แดนสวรรค์’
ด่านแดนสวรรค์ หรือแดนสะหวันในภาษาลาว คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ดินแดนลาวที่แขวงสะหวันนะเขตซึ่งมีชายแดนติดต่อกับไทยและเวียดนาม หาที่พักในโรงแรมเพื่อค้างคืนสัก 1 คืนในเมืองคันทะบูลี จากนั้นจึงค่อยตระเวนชมสถานที่ท่องเที่ยว ตึกรามบ้านช่องกับวัดวาอารามที่นี่เป็นสิ่งที่บอกเรื่องราวในอดีตได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นอาคารเก่าร่องรอยจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสที่มีให้เห็นมากกว่า 100 หลัง และโบราณสถานที่ได้รับอิทธิพลของศิลปะขอมและอินเดีย
ที่โดดเด่นที่สุดคือ ‘ธาตุอิงฮัง’ ลวดลายประตูของพระธาตุเป็นศิลปะแบบอินเดีย ส่วนยอดเจดีย์เป็นศิลปะล้านช้าง และหากเป็นคนช่างสังเกตสักหน่อย อาจจะได้เห็นเรือนลาวเดิมตามท้องทุ่งและกุฏิพระ ตกเย็นแวะชมพระอาทิตย์ตกดินและชาวบ้านทอดแหริมน้ำโขง ถนนเลียบแม่น้ำยามเย็นคักคัก ชาวบ้านขายปลา แม่ค้าตั้งโต๊ะขายอาหาร เด็กๆ ถีบจักรยานเล่น หนุ่มสาวลาวล้อมวงกินข้าวรับลม
สู่ดินแดนนครจักรพรรดิแห่งเว้
ล้อหมุนแต่เช้าจากตัวเมืองคันทะบูลี แขวงสะวันนะเขต มุ่งสู่ด่านลาวบาวของเวียดนาม ไปตามทางหลวงหมายเลข 9 ด้วยระยะทางราว 200 กม. รถยนต์ทุกคันที่ผ่านถนนสายนี้จะต้องเสียค่าบูรณะทางหลวงที่ด่านเซโปน (สำหรับรถตู้จะจ่ายคันละ 3,000 กีบ) สองข้างทางพบเห็นหมู่บ้านเป็นระยะๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นท้องทุ่งโล่งและค่อนข้างแห้งแล้ง สะหวันนะเขตจึงดูจะเป็นแค่แดนผ่านตามเส้นทางการท่องเที่ยวจากไทยไปเมืองมรดกโลกเวียดนาม
แต่ในความเป็นเมืองผ่านนั้น สะหวันนะเขตกำลังก่อร่างสร้างตัวเป็นเมืองอุตสาหกรรมและการค้า ทั้งมีศักยภาพในการเป็นจุดแวะพักที่เยี่ยมยอด เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของเส้นทางสายเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งอนุภูมิภาคแล้ว สะหวันนะเขตยังเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน รองรับการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และมีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นศูนย์กลางการบริการตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกในอนาคต
ใช้เวลาราว 3 ชม. จึงถึงด่านลาวบาว จ.กวางจิ (Quang Tri) อาณาเขตแรกของเวียดนาม บริเวณใกล้เคียงเป็นที่ตั้งของเขตอุตสาหกรรมลาวบาว ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โรงงานหลายแห่งเปิดดำเนินการแล้ว มีโรงแรมเซโปน (Sepon Hotel) ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทย เห็นได้จากร้านอาหารในโรงแรมที่เขียนเป็นภาษาไทยชัดเจน ฝั่งตรงข้ามโรงแรมคืออาคารร้านค้าปลอดภาษีซึ่งมีหลังคาทรงแปลกตาและดูทันสมัย ทว่าด้านในยังไม่มีสินค้าน่าสนใจ และคนขายส่วนใหญ่ก็สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้
ถนนหมายเลข 9 ที่ต่อเนื่องไปถึงเวียดนาม มีระยะทาง 83 กม. ระหว่างด่านลาวบาวและดงห่า (Dong Ha) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ดังนั้นการเดินทางในช่วงถนนนี้จึงค่อนข้างลำบาก ปลายทางคือเมืองเว้ระยะทาง 150 กม. ใช้เวลา 3 ชม.ครึ่ง บนเงื่อนไขว่ารถใหญ่จะต้องขับไม่เกิน 40 กม.ต่อ ชม. ในย่านชุมชน เนื่องจากคนเวียดนามนิยมใช้รถส่วนตัวในการเดินทางทั้งจักรยาน มอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ มีสิทธิ์ใช้บนถนนได้เท่าเทียมกัน รถใหญ่จะต้องบีบแตรเตือนเมื่อต้องการแซง ดังนั้นเราจึงได้ยินเสียงแตรรถไปตลอดทาง โดยไม่มีใครตำหนิกัน
เว้ เป็นนครหลวงเก่าแห่งกษัตริย์ราชวงศ์เหวียนในอดีต ในเขต จ. เถือะเทียนเว้ (Thua Thien Hue) คนเมืองเว้พูดจาสุภาพและยังรักษาวัฒนธรรมไว้อย่างดี ดังนั้นเราจึงได้เห็นผู้หญิงแต่งชุดประจำชาติอ๋าวหญ่ายได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นงานสำคัญ นักท่องเที่ยวควรค้างสักคืนที่เมืองเว้ เพราะตกค่ำมีบริการเรือนำเที่ยวหัวมังกรไปตามแม่น้ำเฮือง (Song Huong) หรือ “แม่น้ำหอม” แม่น้ำสำคัญไหลผ่านกลางเมือง เป็นโอกาสจะได้ชมทิวทัศน์พร้อมฟังการบรรเลงดนตรีคีตศิลป์แบบราชสำนักอันแสนโรแมนติก ตกค่าบริการลำละ 20 ดอลลาร์ นั่งได้เต็มที่ 50 คน
ล่องแม่น้ำหอมชมวังโบราณ ลัดเลาะเขาเข้า ‘โฮยอาน’
แม่น้ำที่นี่ไม่ได้หอมอย่างชื่อ ทว่าเป็นทางให้เรือล่องยามเช้าไปชมเจดีย์เทียนมุ (Thien Mu) และพระราชวังโบราณด่ายนอย (Dai Noi) มรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของเวียดนาม เจดีย์เทียนมุเป็นศาสนาสถานเก่าแก่ที่สำคัญของประเทศตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม สร้างขึ้นถวายแด่นางฟ้าองค์หนึ่งที่มาเข้าฝันให้สร้างพระราชวังบริเวณนี้ ความโดดเด่นงดงามของเจดีย์เทียนมุและวัดวาอารามอีกหลายแห่งในเมืองเว้ ทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของเวียดนาม
พระราชวังโบราณตั้งอยู่ไม่ห่างจากเจดีย์ แม้จะเสียหายจากการทิ้งระเบิดของกองทัพสหรัฐฯ จนพังหายไปมากกว่าครึ่งในช่วงสงครามเวียดนาม แต่พระราชวังแห่งนี้ก็ยังเหลือพระตำหนักให้ชม 6 แห่ง จากที่เคยมีอยู่ทั้งหมด 14 แห่ง โดยเฉพาะวังด้านนอกที่ใช้ออกว่าราชการแผ่นดินยังโดดเด่นงดงามตามแบบสถาปัตยกรรมเวียดนาม มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไปชมไม่ขาดสาย ค่าผ่านประมาณคนละ 55,000 ด่ง (ราว 150 บาท) พระตำหนักด้านในปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์ ส่วนด้านหลังสุดเป็นที่ตั้งของสุสานพระจักรพรรดิ โดยเฉพาะกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียนเกือบทั้งหมดฝั่งอยู่ที่นี่
ที่หมายในช่วงบ่ายคือเมืองโฮยอาน มรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดีเยี่ยม แต่ก่อนจะถึงเมืองท่าโบราณแห่งนี้ จะต้องลัดเลาะขึ้นภูเขาฮายวัน บนระดับความสูง 1,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นระยะทาง 21 กม. มีเส้นทางคดเคี้ยวและค่อนข้างอันตราย บางจุดรถต้องเลี้ยวหักซอก จึงควรใช้คนขับผู้ชำนาญทางเท่านั้นในการเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ ถึงกระนั้นก็ยังมีอุบัติเหตุให้เห็นทุกวัน อย่างไรก็ตามเมื่ออุโมงค์ฮายวัน สร้างเสร็จภายในเดือนสองเดือนข้างหน้า การเดินทางก็จะง่ายขึ้น และร่นเวลาเหลือเพียง 6 นาที จากที่ใช้เวลากว่า 40 นาทีในตอนนี้
กระนั้นการนั่งรถเลาะไปตามไหล่เขาฮายวัน หากไม่หวั่นเกรงอันตรายและไม่เมารถเสียก่อน ก็นับเป็นเส้นทางที่น่าชมมาก เพราะเบื้องล่างเป็นทิวทัศน์ของทะเลสาบที่สวยงาม
จากเว้ไปเมืองดานัง ระยะทาง 115 กม. ดานังเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของรองจากนครโฮจิมินห์ เป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาติและมีโรงแรมที่ค่าห้องพักแพงที่สุดในประเทศ ในความเป็นเมืองธุรกิจชายทะเล เวียดนามยกให้ที่นี่เทียบกับภูเก็ตของไทยเลยทีเดียว เมื่อขับต่อไปอีก 30 กม.ก็จะถึงเมืองโฮยอาน ใน จ.กว่างนาม (Quang Nam) รวมเวลา 4 ชม.
‘โฮยอาน’ เมืองท่าโบราณที่น่าหลงใหล
เสน่ห์ของโฮยอานอยู่ตรงที่ยังคงรักษารูปแบบอาคารและบรรยากาศในอดีตไว้ได้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะบ้านเรือนโบราณกับชาวประมงสวมงอบหัวแหลมริมน้ำ ทำให้คนไปเยือนอดหลงคิดไปว่าได้เข้าไปใช้ชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 16-17 เมื่อครั้งที่โฮยอานเป็นเมืองท่าสำคัญของพ่อค้าจีนและญี่ปุ่น
ที่นี่มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่อันน่าตื่นตาจนไม่น่าเชื่อว่ายังรักษารูปแบบมาได้ถึงทุกวันนี้ สะพานญี่ปุ่น และหลังคาแบบกระดองปูตามบ้านเรือนบน ถ.เหวียนถายฮ๊อก (Ngu Thai Hoc) นั้นงดงามมาก รูปทรงของบ้าน การตกแต่ง และวัสดุที่ใช้สะท้อนความเป็นตะวันออก ผสมผสานศิลปะญี่ปุ่นและจีนอย่างลงตัว
โฮยอาน มีแม่น้ำ 3 สายไหลผ่าน ดังนั้นนอกจากการเดินเล่นหรือนั่งสามล้อถีบที่มีคนขับอยู่ด้านหลัง เพื่อชมย่านเก่าของเมืองแห่งนี้แล้ว สามารถนั่งเรือที่ท่าเรือทันห่าไปชมหมู่บ้านเซรามิคที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตและบ้านเรือนแบบดั้งเดิมไว้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ก็มีหมู่บ้านหัตถกรรมไม้ ที่นักท่องเที่ยวมักซื้อหาสินค้าฝีมือประณีตไปจากที่นี่
คนโฮยอานนิยมล้อมวงนั่งดื่มชายามว่าง โดยเฉพาะผู้ชายที่เสร็จสิ้นจากการทำงานก็จะมานั่งล้อมวงคุยพร้อมจิบชากับเพื่อนฝูง ส่วนนักท่องเที่ยวก็มีร้านกาแฟและชาไว้บริการหลายแห่งแทรกอยู่ในตัวอาคารหลังโบราณ ต่างจากที่เมืองเว้ที่หาไม่เจอสักแห่งเดียวนอกจากร้านเบียร์ที่นิยมดื่มกันเป็นเรื่องปกติ ตามซอกซอยต่างๆ ในเมืองเก่าโฮยอานยังมักพบเห็นร้านขายงานศิลปะโดยเฉพาะภาพวาดสีน้ำที่คนเวียดนามทำได้สวยงาม มีเส้นสายเฉพาะตัว จนมีคนบอกว่า เหมือนเมืองศิลปะอันเงียบสงบริมน้ำ
นอกจากโฮยอาน จ.กว่างนามยังเป็นที่ตั้งของปราสาทหมีเซิน กลุ่มโบราณสถานของชาวจามที่รุ่งเรืองมากในอดีต ตามเส้นทางกลับไปยังเมืองดานัง หากแวะชมมรดกโลกแห่งนี้ ก็จะต้องแวะค้างที่สะหวันนะเขตอีก 1 คืน และควรถือโอกาสไปชมพิพิธภัณฑ์ประติมากรรมของจามในเมืองดานัง เพื่อศึกษาชนชาติที่ยิ่งใหญ่ชาติหนึ่งของอินโดจีนด้วยเลย
หากไม่ต้องแวะชมสถานที่ใดๆ นักท่องเที่ยวจะต้องใช้ช่วงกลางวันทั้งหมดกับการเดินทางถึง จ.มุกดาหาร ที่สำคัญควรจะออกแต่เช้าตรู่ เพื่อไปให้ทันด่านตรวจแดนสะหวันและมุกดาหารตอน 4 โมงเย็น
จากนั้นจึงค่อยแวะทานส้มตำ ชมพระจันทร์ดวงโตริมแม่น้ำโขงในฝั่งไทย ซึ่งเป็นแม่น้ำโขงสายเดียวที่ปลายทางไหลลงสู่ปากแม่น้ำโขงในเวียดนาม.