พนมเป็ญ- นายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านในกัมพูชาต้องเดินทางออกนอกประเทศเมื่อวันพฤหัสบดีนี้ (3) เพื่อหนีการถูกจับกุมดำเนินคดี หลังจากรัฐสภากัมพูชาได้ลงมติในวันเดียวกันเพิกถอนเอกสิทธิ์คุ้มครองทางการเมือง เพื่อให้สามารถดำเนินคดีที่นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นโจทก์ฟ้องร้องตัวเขา
สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงพนมเปญได้ออกประณามการกระทำดังกล่าวของรัฐสภากัมพูชาในทันที ระบุว่านับเป็นการถดถอยอย่างแรงของระบอบประชาธิปไตยในประเทศนี้ ซึ่งได้รับการก่อตั้งขึ้นจากการเลือกตั้งที่องค์การสหประชาชาติดำเนินการให้เมื่อกว่า 10 ปีก่อน
นายสมรังสี ได้รีบเดินทางจากกัมพูชาไปยังสิงคโปร์ และต่อมาจับเครื่องบินไปยังประเทศไทย
ผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชากล่าวหา นายฮุนเซนว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ปาระเบิด ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคฝ่ายค้านในกรุงพนมเปญเมื่อปี 2540 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย
นอกจากตัวผู้นำฝ่ายค้านในกัมพูชาแล้ว ส.ส.พรรคสมรังสี อีก 2 คนคือ นายเจียมจันนีกับนายเจียโป้ช ก็ถูกเพิกถอนเอกสิทธิ์คุ้มครองในการลงมติของรัฐสภาคราวเดียวกันนี้
นายฮุนเซนบอกกับผู้สื่อข่าวหลังการลงมติว่า บุคคลทั้ง 3 ถูกถอดถอนเอกสิทธิ์คุ้มครองเนื่องจากได้ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น อันเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญ
“ดังนั้นพวกเขาก็จะต้องเผชิญกับกฎหมายและคดีก็จะได้รับการพิจารณาโดยทางศาล การเพิกถอนเอกสิทธิมิใช่เป็นการลงโทษพวกเขา แต่เพื่อเปิดทางให้สามารถดำเนินคดีในชั้นศาลได้” นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าว
ในเวลาต่อมาในตอนบ่ายวันพฤหัสบดี นายเจียมจันนี ถูกจับกุมที่สำนักงานพรรคสมรังสี ส่วนนายเจีบโป้ช ยังหลบหนี เจ้าหน้าที่ของพรรคกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์
นายฮุนเซน ซึ่งเป็นอดีตนายทหารในกองทัพของฝ่ายเขมรแดงและบริหารกัมพูชามาในช่วงกว่า 20 ปีนั้น ได้ปฏิเสธการมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในเหตุการณ์ปาระเบิดตามที่นายสมรังสีกล่าวหา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้นักรณรงค์ประชาธิปไตยชาวอเมริกันคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บด้วย
นายฮุนเซนได้โต้ตอบนายสมรังสีด้วยการฟ้องกลับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการเมืองของกัมพูชา จากนั้นก็นำมาสู่การปฏิบัติการให้มีการเพิกถอนเอกสิทธิ์คุ้มครองของนายสมรังสี
สถานทูตสหรัฐฯ ได้ออกประณามการลงมติของรัฐสภากัมพูชา โดยระบุว่า “เป็นการถดถอยครั้งใหญ่หลวงสำหรับประชาธิปไตยในกัมพูชา”
“เรารู้สึกเป็นกังวลอย่างลึกซึ้งต่อการที่รัฐสภา (ของกัมพูชา) ปฏิบัติ (กิจกรรม) ทางการเมืองที่ดูเหมือนว่าถูกออกแบบเพื่อทำให้พรรคฝ่ายค้านไร้สิทธิ์ไร้เสียง” สถานทูตสหรัฐฯ ระบุในคำแถลงฉบับหนึ่งที่ออกเมื่อวัน
“ชนะศึก-ยังไม่ชนะสงคราม”
ครั้งหนึ่งนายสมรังสีเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในรัฐบาลผสมชุดหนึ่งของกัมพูชา และ ถ้าหากศาลตัดสินว่าเขามีความผิด ก็อาจจะต้องถูกจำคุกระหว่าง 5 เดือนถึง 1 ปี และยังจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับนายฮุนเซนเป็นเงินหลายพันดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้เป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
อย่างไรก็ตามสมาชิกพรรคสมรังสีกล่าวว่า เหตุผลที่นำไปสู่การลงมติของรัฐสภาเมื่อวันพฤหัสบดีนั้นเป็นเหตุผลที่ “อ่อน” และ พรรคจะต่อสู้ในประเด็นนี้ต่อไป
พรรคสมรังสีซึ่งในปัจจุบันเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียวในกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่งระบุว่า พรรครัฐบาลอาจจะ “ชนะศึก” แต่ยังไม่ได้ “ชนะสงคราม” ในเหตุการณ์ที่รัฐสภาลงมติเมื่อวันพฤหัสบดีนี้
นายสมรังสีเคยเป็นสมาชิกพรรคฟุนซินเปก และ เคยกล่าวหากรมพระนโรดมรณฤทธิ์ หัวหน้าพรรคว่ากระทำการคอร์รัปชั่น นายสมได้ยื่นฟ้องหัวหน้าพรรคด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าว เขาเคยถูกเพิกถอนเอกสิทธิ์คุ้มครองมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2538
นายสมบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ระหว่างที่เดินออกจากรัฐสภาอย่างลุกลี้ลุกลน ภายหลังการลงมติว่า “เลวร้ายมาก พวกเขาละเมิดระบอบประชาธิปไตย” และกล่าวว่า “ผมขอเรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศ ช่วยประเทศของเราให้อยู่กับร่องกับรอยด้วย”
กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนกล่าวว่า การลงมติของรัฐสภาครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความง่อนแง่นของระบอบประชาธิปไตยในกัมพูชา ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นจากการเลือกตั้งที่จัดโดยองค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2536
กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ผู้นำทางการเมืองในประเทศนี้ใช้เวลาส่วนข้างมากในการทะเลาะเบาะแว้งกันเอง แทนที่จะต่อสู้กับปัญหาที่มีความร้ายแรงต่างๆ หลังจากประเทศกรำสงครามมานาน
นายเก๊ก กาลาบรู นักกฎหมาย-นักสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ประเทศนี้ควรปราบปรามการคอร์รัปชั่นตามที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาประเทศผู้บริจาคและต่อสู้กับความยากจนข้นแค้น แทนที่จะใช้เวลาไปในการเพิกถอน เอกสิทธิ์ทางการเมือง
นักกฎหมายผู้นี้กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นับเป็น “ลางร้ายสำหรับประชาธิปไตย” และ “เป็นการชะงักงันของการพัฒนา”.
สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงพนมเปญได้ออกประณามการกระทำดังกล่าวของรัฐสภากัมพูชาในทันที ระบุว่านับเป็นการถดถอยอย่างแรงของระบอบประชาธิปไตยในประเทศนี้ ซึ่งได้รับการก่อตั้งขึ้นจากการเลือกตั้งที่องค์การสหประชาชาติดำเนินการให้เมื่อกว่า 10 ปีก่อน
นายสมรังสี ได้รีบเดินทางจากกัมพูชาไปยังสิงคโปร์ และต่อมาจับเครื่องบินไปยังประเทศไทย
ผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชากล่าวหา นายฮุนเซนว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ปาระเบิด ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคฝ่ายค้านในกรุงพนมเปญเมื่อปี 2540 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย
นอกจากตัวผู้นำฝ่ายค้านในกัมพูชาแล้ว ส.ส.พรรคสมรังสี อีก 2 คนคือ นายเจียมจันนีกับนายเจียโป้ช ก็ถูกเพิกถอนเอกสิทธิ์คุ้มครองในการลงมติของรัฐสภาคราวเดียวกันนี้
นายฮุนเซนบอกกับผู้สื่อข่าวหลังการลงมติว่า บุคคลทั้ง 3 ถูกถอดถอนเอกสิทธิ์คุ้มครองเนื่องจากได้ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น อันเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญ
“ดังนั้นพวกเขาก็จะต้องเผชิญกับกฎหมายและคดีก็จะได้รับการพิจารณาโดยทางศาล การเพิกถอนเอกสิทธิมิใช่เป็นการลงโทษพวกเขา แต่เพื่อเปิดทางให้สามารถดำเนินคดีในชั้นศาลได้” นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าว
ในเวลาต่อมาในตอนบ่ายวันพฤหัสบดี นายเจียมจันนี ถูกจับกุมที่สำนักงานพรรคสมรังสี ส่วนนายเจีบโป้ช ยังหลบหนี เจ้าหน้าที่ของพรรคกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์
นายฮุนเซน ซึ่งเป็นอดีตนายทหารในกองทัพของฝ่ายเขมรแดงและบริหารกัมพูชามาในช่วงกว่า 20 ปีนั้น ได้ปฏิเสธการมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในเหตุการณ์ปาระเบิดตามที่นายสมรังสีกล่าวหา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้นักรณรงค์ประชาธิปไตยชาวอเมริกันคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บด้วย
นายฮุนเซนได้โต้ตอบนายสมรังสีด้วยการฟ้องกลับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการเมืองของกัมพูชา จากนั้นก็นำมาสู่การปฏิบัติการให้มีการเพิกถอนเอกสิทธิ์คุ้มครองของนายสมรังสี
สถานทูตสหรัฐฯ ได้ออกประณามการลงมติของรัฐสภากัมพูชา โดยระบุว่า “เป็นการถดถอยครั้งใหญ่หลวงสำหรับประชาธิปไตยในกัมพูชา”
“เรารู้สึกเป็นกังวลอย่างลึกซึ้งต่อการที่รัฐสภา (ของกัมพูชา) ปฏิบัติ (กิจกรรม) ทางการเมืองที่ดูเหมือนว่าถูกออกแบบเพื่อทำให้พรรคฝ่ายค้านไร้สิทธิ์ไร้เสียง” สถานทูตสหรัฐฯ ระบุในคำแถลงฉบับหนึ่งที่ออกเมื่อวัน
“ชนะศึก-ยังไม่ชนะสงคราม”
ครั้งหนึ่งนายสมรังสีเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในรัฐบาลผสมชุดหนึ่งของกัมพูชา และ ถ้าหากศาลตัดสินว่าเขามีความผิด ก็อาจจะต้องถูกจำคุกระหว่าง 5 เดือนถึง 1 ปี และยังจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับนายฮุนเซนเป็นเงินหลายพันดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้เป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
อย่างไรก็ตามสมาชิกพรรคสมรังสีกล่าวว่า เหตุผลที่นำไปสู่การลงมติของรัฐสภาเมื่อวันพฤหัสบดีนั้นเป็นเหตุผลที่ “อ่อน” และ พรรคจะต่อสู้ในประเด็นนี้ต่อไป
พรรคสมรังสีซึ่งในปัจจุบันเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียวในกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่งระบุว่า พรรครัฐบาลอาจจะ “ชนะศึก” แต่ยังไม่ได้ “ชนะสงคราม” ในเหตุการณ์ที่รัฐสภาลงมติเมื่อวันพฤหัสบดีนี้
นายสมรังสีเคยเป็นสมาชิกพรรคฟุนซินเปก และ เคยกล่าวหากรมพระนโรดมรณฤทธิ์ หัวหน้าพรรคว่ากระทำการคอร์รัปชั่น นายสมได้ยื่นฟ้องหัวหน้าพรรคด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าว เขาเคยถูกเพิกถอนเอกสิทธิ์คุ้มครองมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2538
นายสมบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ระหว่างที่เดินออกจากรัฐสภาอย่างลุกลี้ลุกลน ภายหลังการลงมติว่า “เลวร้ายมาก พวกเขาละเมิดระบอบประชาธิปไตย” และกล่าวว่า “ผมขอเรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศ ช่วยประเทศของเราให้อยู่กับร่องกับรอยด้วย”
กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนกล่าวว่า การลงมติของรัฐสภาครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความง่อนแง่นของระบอบประชาธิปไตยในกัมพูชา ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นจากการเลือกตั้งที่จัดโดยองค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2536
กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ผู้นำทางการเมืองในประเทศนี้ใช้เวลาส่วนข้างมากในการทะเลาะเบาะแว้งกันเอง แทนที่จะต่อสู้กับปัญหาที่มีความร้ายแรงต่างๆ หลังจากประเทศกรำสงครามมานาน
นายเก๊ก กาลาบรู นักกฎหมาย-นักสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ประเทศนี้ควรปราบปรามการคอร์รัปชั่นตามที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาประเทศผู้บริจาคและต่อสู้กับความยากจนข้นแค้น แทนที่จะใช้เวลาไปในการเพิกถอน เอกสิทธิ์ทางการเมือง
นักกฎหมายผู้นี้กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นับเป็น “ลางร้ายสำหรับประชาธิปไตย” และ “เป็นการชะงักงันของการพัฒนา”.


